True Story : เรื่องเล่าจาก“เหยื่อ ระเบิด “
ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่พัทลุง มีสมาชิกทั้งหมด 3 คน ประกอบด้วยแม่ ฉัน และน้องชาย
แม่ไม่สามารถทำงานหนักมาก ๆ ได้เพราะป่วยหลายโรค ทั้งมดลูกต่ำ ความดันเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังรับจ้างทำนั่นทำนี่เพื่อหาเงินมาเลี้ยงเราสองพี่น้อง
ถึงแม้ว่าครอบครัวเราจะลำบากเรื่องเงินแต่แม่ก็กัดฟันส่งฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ หลังเรียนจบฉันกลายเป็นเรี่ยวแรงหลักในการหารายได้เข้าบ้าน ฉันได้งานทำเป็นพนักงานขายคอมพิวเตอร์ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ ได้เงินเดือนเกือบหมื่น ฉันส่งให้แม่เป็นค่ากินอยู่ภายในบ้านครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนำไปจ่ายค่าหอพัก บางครั้งเงินจึงไม่พอใช้จ่ายจนต้องกินข้าวแค่วันละมื้อ
หลายครั้งที่โทรศัพท์กลับบ้าน แม่มักบอกให้ฉันกลับไปรับราชการที่พัทลุงส่วนหนึ่งที่แม่ขอร้อง เพราะอยากให้ลูกทำงานใกล้บ้าน อีกส่วนเป็นเพราะเหตุระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ตอนนั้นฉันปฏิเสธไปเพราะยังไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมกับความถนัด และที่สำคัญคือ ฉันไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างนั้นกับตัวเองใครจะรู้ว่าชีวิตฉันต้องเปลี่ยนไปเพราะเรื่องที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว!
วันที่เกิดเหตุนั้น ฉันยังคงโทร.คุยกับแม่ หัวเราะไปกับเรื่องราวของน้องชายก่อนจะถูกเรียกไปทำงานตามปกติ ทว่า… “ตุ๊บ!” ฉันได้ยินเสียงเหมือนของหนัก ๆตกลงพื้น…นึกไม่ถึงเลยว่านั่นคือเสียงระเบิดเพราะเสียงของมันไม่ได้ดังสนั่นอย่างที่เคยเห็นในหนังผู้คนบริเวณนั้นต่างพากันกรีดร้องและวิ่งหนีกันอลหม่าน ได้ยินเสียงคนตะโกว่า “ระเบิด!” ตอนนั้นฉันร้องไม่ออกเพราะความแสบร้อนสุดจะทนเกิดขึ้นที่ใบหน้า ฉันตัดสินใจวิ่งออกจากโรงแรมในสภาพเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ลำตัวและใบหน้าที่ฉันหวงแห ยิ่งชีวิตกลายเป็นสีดำขะมุกขะมอมไปหมด ฉันเรียกมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่โรง-พยาบาลทันที เพราะเริ่มปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ไม่นานหน้าก็เริ่มบวมเป็นแผลพุพองคล้ายถูกน้ำร้อนลวก ฉันหายใจไม่ออก หมอต้องรีบให้มอร์ฟีนโดยด่วน
…ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ที่ปาก และต้องให้อาหารทางจมูก ตอนนั้นฉันทำได้แค่นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง ไม่สามารถขยับตัวได้เพราะร่างกาย ใบหน้า และมือถูกไฟลวกบาดเจ็บสาหัส แม่ต้องเดินทางมาจากพัทลุงเพื่อคอยดูแลฉันอยู่ 2 เดือน กว่าฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลผลกระทบจากระเบิดลูกนั้นทำให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…จากหัวหน้าครอบครัวที่คอยดูแลทุกคน
…กลายเป็นคนที่ช่วยเหลือใครไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเอง นิ้วมือทั้งห้าติดกัน กลายเป็นพังผืด ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปจากคนรักสวยรักงามที่ถนอมรักษาใบหน้ายิ่งชีพ…กลายเป็นคนที่ไม่กล้ามองตัวเองในกระจกจากคนที่ชอบร้องเพลง…กลายเป็นคนที่แม้แต่จะเปล่งเสียงเรียกใครสักคนดัง ๆ ยังเป็นเรื่องยาก นับจากวันนั้น ทุกครั้งที่เห็นแสงจ้าหรือได้ยินเสียงดัง แม้แต่เสียงกระทืบเท้า ฉันจะหายใจไม่ออก ใจเต้นระรัวด้วยความกลัว…หวาดผวาว่าจะมีคนวางระเบิดอีก บ่อยครั้งที่ฉันนอนไม่หลับติดต่อกันหลายคืน ร่างกายคงทนไม่ไหวเลยอาเจียนออกมา ฉันต้องซื้อยาแก้แพ้มากินเพื่อให้ตัวเองหลับ ๆ ไปช่วงเวลาแห่งความทรมานนั้น ฉันได้แต่นึกสาปแช่งมือวางระเบิด…คนที่ทำให้ชีวิตของฉันพังย่อยยับ อยากถามเหลือเกินว่า…ฉันทำผิดอะไร ทำไมต้องทำลายชีวิตฉันไม่คิดบ้างหรืออย่างไรว่าคนที่โดนระเบิดจะมีคนรออยู่ข้างหลัง
วันหนึ่งฉันจึงตัดสินใจโทร.ไปลาแม่เพื่อขอจบชีวิตลง เพราะทนรับสภาพไร้ค่าของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป แถมออกไปไหนก็มีแต่คนมองเป็น “ตัวประหลาด” จนฉันอยากแขวนป้ายบอกให้รู้กันไปเลยว่าฉันโดน “อะไร” มา “แต่ถ้าแม่ไม่มีเรา แม่ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน…” คำตอบของแม่ที่มาพร้อมเสียงสะอื้นฉุดสติฉันกลับมาอีกครั้ง…จริงสินะ ตลอดมาแม่มีแค่ฉันกับน้องชาย ถ้าพวกเขาไม่มีฉัน จะอยู่กันได้อย่างไร…โชคดีที่ฉันมีแม่ มีครอบครัว มีเพื่อนที่คอยดูแลและให้กำลังใจจนข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ แม้ความฝันที่อยากสร้างบ้านให้แม่อยู่อย่างสบายจะห่างไกลออกไปด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้อ แต่มันก็ทำให้ฉันยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
จนถึงวันนี้ ผ่านมาปีกว่าแล้ว ฉันยังคงต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง อาการบางอย่างเริ่มดีขึ้นบ้าง จากที่จับช้อนตักข้าวกินเองไม่ได้ ตอนนี้ฉันสามารถทำเองได้แล้วเวลานอน แม้ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคืนเหมือนที่ผ่านมา ทั้งยังสามารถมองตัวเองในกระจกได้อย่างเต็มตา ถึงแม้ใบหน้าจะมีแผลเป็นให้เห็นอย่างเด่นชัดก็ตามส่วนคนที่ฉันเคยโกรธแค้นอย่างมือระเบิด ฉันอโหสิกรรมให้พวกเขาหมดแล้ว ไม่อยากจองเวรจองกรรมให้ต้องเจอกันในชาติหน้าอีก
ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันได้แต่นึกแปลกใจว่า ทำไมระเบิดลูกเล็ก ๆลูกหนึ่งจึงมีอานุภาพร้ายแรงถึงขนาดนี้มันทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปชนิดที่ไม่มีวันจะกลับไปเหมือนเดิมได้อีกแล้วคนอื่น ๆ ที่ร่วมชะตากรรมเดียวกับฉันล่ะเขาและครอบครัวของเขาจะได้รับผลกระทบมากมายสักแค่ไหนหนอ…แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องร้ายแรงและส่งผลกระทบกับฉันมาก แต่มันกลับทำให้ฉันเห็นคุณค่าของเรื่องธรรมดา ๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นความสำคัญมาก่อน อย่างเช่น
การได้กินอาหารเท่าที่อยากกิน ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ฯลฯ ฉันรู้แล้วว่าการเกิดมามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นั้นสำคัญมากเพียงใด และฉันก็ได้เห็นแล้วว่าความตายอยู่รอบตัวเรานี่เองมาถึงบรรทัดนี้ ฉันได้แต่หวังว่าเรื่องราวของฉันคงจะทำให้ใครหลายคนระลึกถึงความโชคดีในชีวิตของตัวเอง โชคดีที่ยังมีงานโชคดีที่ยังมีครอบครัว โชคดีที่มีอวัยวะครบ 32 ฯลฯ เหมือนฉันที่แสนจะโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ และได้ทำในสิ่งที่อยากทำก่อนที่ความตายจะมาเยือน…โดยไม่รู้ตัว
ข้อคิดจาก พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
ทุกชีวิตเดินอยู่บนเส้นทางของความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน บางคนเวลามีสุขก็หลงระเริงอยู่กับสิ่งที่ได้ มีเป็น ครั้นชีวิตพลิกผันไปสู่ความทุกข์ก็ทำใจไม่ได้ ไม่รู้วิธีหาทางออก กลับทำตนให้ตกต่ำ มีทุกข์ทับทวียิ่งขึ้นไปอีกส่วนบางคนเมื่อเผชิญกับทุกข์ก็เรียนรู้วิธีที่จะอยู่กับทุกข์ได้ เข้าใจความเป็นจริงว่าชีวิตมีทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์กายนั้นนับตั้งแต่ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นปวดเมื่อย เหนื่อยล้า ง่วง หิว จนถึงทุกข์ที่รุนแรงจากโรคภัยไข้เจ็บ พิการความแก่ และความตาย ซึ่งเป็นกันทุกคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกรรมหรือพฤติกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันส่วนทุกข์ใจนั้นละได้ด้วยการปล่อยวาง ไม่แค้นเคืองในเรื่องอดีต หากมีปัญหาก็พยายามแก้ไขให้หมดไป แม้ยังไม่สำเร็จ ก็พยายามใหม่ไม่ท้อถอยทำอย่างไม่กดดันตนเอง คนเราพัฒนาได้ คนที่แขนกุดทั้งสองข้างยังฝึกใช้เท้าทำงานแทนแขนได้ แม้คนที่แขนกุดขากุดก็ยังฝึกใช้ปากทำงานแทนมือและเท้าได้เช่นกันร่างกายไม่คงทนยืนยาว ควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาจิตให้เกิดสันติสุข หาความสงบทางใจ เช่น การทำสมาธิ ฝึกปล่อยวางความคิดที่ทำให้จิตฟุ้งซ่านและเศร้าหมองเสีย มองในสิ่งที่เป็นคุณก็จะมีความสุขได้
เรื่อง ณัฐนภ ตระกลธนภาส
บทความน่าสนใจ