โรคเอดส์ ภัยร้ายใกล้ตัว
นั่นเท่ากับว่าสถิติการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นมีสูงขึ้น แม้ข้อมูลเรื่อง โรคเอดส์ จะค่อนข้างมีอยู่ทั่วไป แต่ก็อยากเน้นย้ำกันอีกครั้งถึงเจ้าโรคร้ายโรคนี้ เผื่อข้อมูลบางอย่างจะเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนไทยได้
สวย ใส และเยาว์วัย ไม่ได้แปลว่าไม่มีเอดส์
เอดส์ คือโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) ซึ่งจะเข้าไปโจมตีเม็ดเลือดขาวชนิด ซีดี-4 จึงง่ายต่อการที่จะถูกเชื้อโรคต่างๆ รอบข้างโจมตี เพราะภูมิต้านทานลดน้อยลง เกิดเป็นโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นที่เรียกว่า โรคเอดส์
เชื้อเอดส์ที่เข้าไปในร่างกายคนจะไปอยู่ในเม็ดเลือดขาว ฝังตัวอยู่เป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งจะค่อยๆ ทำลายเม็ดเลือดขาวในร่างกาย จนถึงขีดต่ำสุดที่ร่างกายจะอ่อนแอ ซึ่งจะนานมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน และในขณะที่ยังไม่ปรากฏอาการก็จะยังเป็นเช่นคนปกติ แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้
การแพร่เชื้อของเอชไอวีนั้นจะแพร่เข้าสู่ร่างกายคนได้สามทาง คือ
1.ทางเพศสัมพันธ์
2.ทางเลือด (หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน)
3.การแพร่จากมารดาสู่ทารก
แต่มากกว่า 80 % คือการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งในระยะแรกนั้นผู้ได้รับเชื้อจะไม่แสดงอาการทันที เพราะว่ามีระยะฟักตัวของเชื้อโรค
การที่เราเห็นคนหน้าตาดี แต่งตัวดี ดูมีฐานะ มีการศึกษา จึงไม่ได้แปลว่าเขาไม่ติดเชื้อ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือ การตรวจเลือด และการจะตรวจเลือดได้ผลนั้น ผู้ได้รับเชื้อต้องไปตรวจหลังได้รับเชื้ออย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป เพราะมิอย่างนั้นอาจตรวจไม่พบ
อาการของเอดส์
อาการของผู้ติดเชื้อเอดส์สามารถแบ่งอาการออกได้เป็น 3 ระยะคือ
ระยะที่ 1 ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลย เหมือนคนปกติทุกอย่าง ถ้าไม่ไปตรวจเลือดก็จะไม่รู้ว่าติดเอดส์ ระยะแรกอย่างนี้ บางคนจะอยู่นานถึง 8-10 ปี
ระยะที่2 คือช่วงหลังติดเชื้อไปแล้ว8-10 ปี ระดับภูมิคุ้มกันต่ำลง ผู้ป่วยเริ่มปรากฏอาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ไข้เรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ มีตุ่มคันตามขา หรืออาจเป็นโรคติดเชื้อแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงนัก ระยะนี้จะอยู่นาน 2-4 ปี ก่อนจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ถ้าไม่ได้รับการรักษา
ระยะที่3 เป็นระยะที่ภูมิต้านทานต่ำลงมาก คนไข้จะติดเชื้อแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ วัณโรคปอด หรือวัณโรคต่อมน้ำเหลือง เชื้อราขึ้นสมอง คนไข้อาจเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนที่รักษาไม่ได้ หรือรักษาไม่ทันการและแม้จะรักษาได้ แต่ถ้าไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ ภูมิต้านทานก็จะลดลงไปเรื่อยๆ คนไข้ก็จะติดเชื้อแทรกซ้อนชนิดแล้วชนิดเล่าจนเสียชีวิตไปในที่สุด
อย่าให้เอดส์พิสูจน์ความรัก
รายงานจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขบอกว่า 84.3 % ของผู้ติดเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ และกลุ่มอายุ 15-29 ปี ติดเชื้อถึงกว่า 60 % จากกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันราว 600,000 คน
ดังนั้นถุงยางอนามัยจึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลที่ร่วมหลับนอนด้วยมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่ แต่เด็กวัยรุ่นจำนวนมากก็ไม่ใช้ถุงยางอนามัยอาจเป็นเพราะไม่รู้จักเอดส์ หรือไม่รู้วิธีใช้ถุงยาง หรือคิดว่าแฟนหรือคนที่นอนด้วยไม่มีโรค หรือถึงแม้จะไม่แน่ใจในคนรัก แต่ก็ห้ามใจไม่ไหว และเหตุผลสุดท้ายคือ อายที่จะซื้อถุงยางอนามัย
ในบรรดาเหตุผลที่กล่าวมานี้ เหตุผลส่วนใหญ่ที่เด็กผู้ชายตอบกันคือ อายที่จะไปซื้อ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีความคิดว่าน่าจะตั้งศูนย์จำหน่ายถุงยางอนามัยในโรงเรียน แต่ได้รับการคัดค้านจากครู ผู้ปกครอง
อย่างไรก็ตามการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิที่ยังไม่พร้อม นอกจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้ว หากท้องขึ้นมา ก็มีผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆทั้งหลายควรตระหนักไว้เสมอว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่รุนแรงและรักษาไม่หาย การป้องกันไว้ก่อนนั้นจึงดีที่สุด อย่าให้การมีเพศสัมพันธ์มาพิสูจน์ความเชื่อว่า รักแท้ต้องมีอะไรกัน (ทั้งที่ยังไม่พร้อม) เพราะตัวเลขยืนยัน 100,000 คนนี่ ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ จะบอกให้ !