True Story : ชีวิตจริง บนเส้นทางสายทุกข์
คุณคิดว่าชีวิตที่มีความสุขจะต้องประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง เงินทองมากมายล้นฟ้า ครอบครัวอบอุ่นพร้อมหน้า หรือคนรักที่แสนดี หากสิ่งเหล่านี้คือมาตรวัดความสุข ฉันก็ไม่แปลกใจว่าทำไมฉันถึงเป็นทุกข์มาตลอดชีวิต นี่คือเรื่องราวใน ชีวิตจริง ของฉัน
ชีวิตของฉันมีจุดเริ่มต้นเหมือนกับเด็กผู้หญิงในครอบครัวมีอันจะกินทั่วไป เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้า พ่อของฉันมีธุรกิจส่วนตัวที่ทำรายได้ต่อเดือนค่อนข้างดี ส่วนแม่ไม่ต้องทำงานอะไร คอยเลี้ยงดูฉันซึ่งเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น
จำได้ว่าตอนเด็ก ฉันและแม่มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย อยากกินก็ได้กิน อยากเที่ยวก็ได้เที่ยว ไม่ว่าฉันจะอยากได้ของเล่นชิ้นไหน พ่อก็หามาให้เสมอไม่เคยขัด ฉันมีชีวิตที่สุขสบายได้เพียง 5 ปี พ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นอัมพาต ร่างกายขยับไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแสดงความรู้สึกผ่านดวงตาที่ยังกลอกไปมาได้เท่านั้น เมื่อเห็นว่าหมดทางรักษาให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม แม่จึงพาพ่อกลับมารักษาตัวที่บ้านโดยมีแม่และพี่เลี้ยงของฉันเป็นคนคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ดูแลราวกับพ่อเป็นเด็กทารกแรกเกิด
ช่วงนั้นเงินเก็บของพ่อถูกนำมาใช้เกือบหมด ทั้งนำมาเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าแรงคนงานในบริษัทและคนงานในบ้าน ทั้งยังต้องแบ่งเป็นค่าเล่าเรียนของฉันด้วย ชีวิตที่เคยสุขสบายบัดนี้ไม่เป็นเหมือนเก่า จากที่เคยใช้เงินซื้อความสุข กลับต้องกระเบียดกระเสียรใช้กันอย่างประหยัด จนท้ายที่สุด พนักงานบริษัทก็ค่อยๆ ทยอยลาทีละคนจนบริษัทต้องปิดกิจการไป
จากที่เคยมีรายได้ต่อเดือนเป็นจำนวนมาก คงเหลือเพียงรายจ่ายมหาศาลที่ไม่มีวันหมดสิ้น สถานะทางการเงินของครอบครัวเข้าขั้นวิกฤติ หลายครั้งที่ฉันเห็นแม่แอบไปร้องไห้คนเดียว แต่ด้วยความเป็นเด็ก ยังไม่ประสา ฉันจึงทำได้เพียงแอบมองเท่านั้น ราวกับพ่อจะรู้ว่าตนเองกำลังทำให้ครอบครัวต้องลำบาก เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พ่ออยู่กับฉันและแม่ต่ออีกไม่ถึง 2 ปีก็จากไป
ด้วยความที่ฉันยังเด็ก เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นเพียงภาพความทรงจำจางๆ ไม่แจ่มชัด ฉันเพียงจำได้จากคำบอกเล่าของแม่ที่เล่าให้ฟังตอนที่ฉันโตพอรู้ความแล้วเท่านั้น
เมื่อขาดเสาหลักของบ้านไป แม่ผู้ทำหน้าที่เป็นเสมือนช้างเท้าหลังมาตลอดจึงต้องเปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้นำ จากที่เคยอยู่บ้านสบายๆ ต้องออกไปหางานทำ ลูกจ้างที่มี เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็ขอลาออก แม่ก็ไม่ได้ทัดทาน เพราะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าลามมาส่งผลกระทบถึงฉันอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันต้องเปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนเพื่อน เปลี่ยนสังคม ที่สุดแล้วคืออนาคตของฉันที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่ไม่มีเวลาให้ฉันเหมือนเก่า เพราะต้องทำงานหลายอย่าง ทั้งงานประจำและงานเสริมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหารายได้ เราจะเจอกันเพียงช่วงเช้าที่แม่ไปส่งฉันที่โรงเรียน และช่วงค่ำหลังจากที่แม่กลับมาจากทำงานแล้วเท่านั้น แม้จะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากเหมือนเมื่อก่อน แต่แม่ก็ยังพร่ำสอนฉันเสมอให้เป็นคนดี และตั้งใจเรียนเพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาภาระ
ถึงกระนั้น คำสอนก็ของแม่กลับมีพลังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับกระแสสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ฉันเริ่มติดเพื่อน และไปไหนมาไหนกับเพื่อนหลังเลิกเรียนตอนเย็นๆ แรกๆ ก็ชวนไปกินข้าวกินขนมธรรมดา ตามประสาเด็กๆ นานวันเข้า พอเข้าสู่วัยรุ่น เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มมีแฟน เริ่มไปนั่งในที่ลับตากันเป็นคู่ๆ ฉันเองที่ไม่มีแฟนเริ่มรู้สึกแปลกแยกออกไปเรื่อยๆ เพราะเพื่อนต่างหันไปสนใจกับเพื่อนต่างเพศมากขึ้น
ตอนนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอยากมีแฟน เพราะแม่มักพูดเสมอว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อยากแตกต่าง จึงเริ่มให้ความสนใจกับเพื่อนชายที่เข้ามาพูดคุยมากขึ้น เรานัดแนะเจอกันบ้างช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และโทรคุยกันวันละเป็นชั่วโมงทุกวัน แม้อยู่โรงเรียนเดียวกันก็ตาม บางครั้งหากมีคาบว่างไม่ตรงกัน บางครั้งฉันก็โดดเรียนไปนั่งคุยกับเขา
พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ผลการเรียนของฉันแย่ลงจนแม่เรียกไปคุยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจากเด็กที่มีผลการเรียนพอใช้ ถึงได้เรียนแย่ลงขนาดนี้ ฉันได้แต่โกหกว่าการเรียนชั้นสูงขึ้น ความยากก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม่จึงยอมเสียเงินให้ฉันไปเรียนพิเศษช่วงหลังเลิกเรียน
ช่วงแรกๆ ฉันก็ไปเรียนตามปกติ แต่เรียนไปได้สักพัก แฟนก็ชวนให้ฉันโดดเรียนไปเที่ยวเล่นกับเขา ฉันเริ่มโกหกแม่บ่อยขึ้น บางครั้งก็ขอเงินแม่โดยบอกว่าจะเอามาซื้อเครื่องเขียนแบบเรียนที่ยังขาด ทั้งที่ในความเป็นจริง ฉันเอาเงินเหล่านั้นไปเที่ยวและซื้อของให้แฟน
ความรักของเราสดใสเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แตะเนื้อต้องตัวกันบ้างก็เพียงจับมือเวลาไปเที่ยวด้วยกันเท่านั้น แต่แล้ววันหนึ่งแฟนก็โทรมาหาฉันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์บอกว่า ครอบครัวของเขาต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ส่วนตัวเขาไม่ชอบเดินทางไกลจึงบอกปฏิเสธ แต่จะให้อยู่บ้านก็เหงา เขาจึงชวนฉันออกไปขี่รถมอเตอร์ไซค์เล่นด้วยกัน เมื่อเห็นว่าแม่ต้องออกไปทำงานอยู่แล้ว และฉันก็คงกลับไม่ดึก ฉันจึงออกไปกับแฟนโดยไม่ได้บอกแม่
วันนั้น เราขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ จนเย็น เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาแม่จะกลับมาแล้ว ฉันจึงขอให้แฟนพาไปส่งที่บ้าน แฟนก็รับปากว่าจะพาไปส่ง แต่อยากให้ไปกินข้าวฝีมือเขาที่บ้านเสียก่อน ด้วยความเกรงใจ บวกกับอยากใช้เวลากับแฟนตามประสาหนุ่มสาว ฉันจึงตอบตกลง
พอไปถึงเขาก็ทำอาหารให้ฉันกินอย่างที่สัญญาไว้ หลังจากกินข้าวเสร็จก็ชวนดูหนังที่บ้านเขาต่อระหว่างดูหนัง เขาจับมือฉันไว้เป็นปกติ สำหรับฉัน ความรู้สึกตอนนั้นช่างแตกต่างจากตอนที่จับมือกันนั่งดูหนังในโรงภาพยนตร์ อาจเป็นเพราะเราทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพังในที่รโหฐาน ความรู้สึกจึงแตกต่างออกไป
เขาขอให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งคืน ฉันจึงโทรหาแม่ บอกว่าจะขอนอนบ้านเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกัน เพราะมาทำรายงานด้วยกัน แต่ยังไม่เสร็จ แม่ตอบตกลงอย่างง่ายดายเพราะเชื่อใจ คืนนั้นจบลงที่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน เพราะเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดเตรียมการณ์ใดๆ ไว้ล่วงหน้า หลังจากนั้นช่วงสายๆ แฟนก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งฉันที่หน้าปากซอยบ้าน เพราะกลัวว่าแม่เห็นแล้วจับได้ว่าไม่ได้ไปนอนค้างบ้านเพื่อนผู้หญิง
ฉันเองพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะนึกวิตกว่าหากพลาดตั้งท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่วายตั้งคำถามกับแฟนว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ฉันกลัวขึ้นมาจะทำอย่างไร เขาก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลรับผิดชอบเอง เพราะอย่างไรฉันก็เป็นภรรยาของเขาแล้ว
คำพูดหวานหูในตอนนั้นทำให้ฉันลืมเรื่องวิตกกังวลไปจนหมด มัวแต่ปลื้มใจว่าผู้ชายที่ฉันรักช่างดีเหลือเกิน ยอมรับอย่างเต็มอกว่าฉันเป็นภรรยาของเขา ไม่ใช่แค่รับรู้กันเพียงสองคนเท่านั้น หากแต่เขายังบอกเพื่อนๆ ของเราว่าห้ามผู้ชายคนไหนมาแตะต้องฉัน เพราะฉันเป็นผู้หญิงของเขา เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้หัวใจของวัยรุ่นหลงผิดอย่างฉันพองโต
ฉันหลงมีความสุขได้เพียงไม่นาน ก็ต้องเผชิญกับฝันร้าย เมื่อรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จากการที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ เหนื่อยง่าย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นานเข้าร่างกายที่เคยผอมบางก็เริ่มอวบอิ่มขึ้น กลิ่นที่เคยหอมกลับชวนให้คลื่นเหียนอาเจียน อาการของฉันเริ่มปากฏชัดจนไม่สามารถปิดบังสายตาช่างสังเกตของผู้เป็นแม่ได้ พอถูกคาดคั้นเอาคำตอบ ฉันก็ได้แต่โกหก เสไปเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที
ในที่สุดฉันก็ทนอยู่บนความสงสัยไม่ไหวจึงไปซื้อชุดตรวจครรภ์มา ก่อนจะแอบทดสอบในช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้าน แม้จะหวาดกลัวผลลัพธ์แต่ก็จำต้องรู้เพื่อวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต ทันทีที่ผลออกมาว่ากำลังตั้งครรภ์ ฉันแทบล้มทั้งยืน ไม่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกังเพียงครั้งเดียวจะนำมาซึ่งผลเสียร้ายแรงขนาดนี้
ไม่มีรอยยิ้มของความปิติยินดีปรากฏบนใบหน้า มีเพียงน้ำตาของความหวาดกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากแม่รู้เข้าจะทำอย่างไร แฟนหนุ่มแสนดีจะยังรักฉันอยู่ไหม แล้วอนาคตการศึกษาของฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป
คืนนั้น ฉันรวบรวมความกล้า โทรบอกความจริงกับแฟน และผลที่ได้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คิดสักเท่าไร เสียงปลายสายนิ่งไปก่อนจะตัดสายไปแบบไม่ใยดี จากที่เคยมาหาก็ห่างเหินไป ฉันเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่กังวลว่าจะบอกแม่อย่างไรมากกว่า
ฉันทำใจอยู่หลายวันจึงตัดสินใจบอกความจริงกับแม่ จำได้ว่าฉันรอให้แม่กลับมาบ้าน กินข้าวอาบน้ำจนสบายใจจึงเริ่มพูดคุยกับแม่โดยตั้งคำถามที่จะเชื่อมโยงไปยังหัวข้อที่อยากจะพูด ฉันถามแม่ว่าตอนที่แม่รู้ว่าตั้งท้องฉัน แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง แม่บอกว่าเป็นวันที่แม่และพ่อมีความสุขที่สุด เพราะจะมีฉันมาเติมเต็มคำว่าครอบครัว ฉันถามแม่อีกหลายคำถาม ทุกคำตอบของแม่ก็ทำให้ฉันละอายใจจนเริ่มลังเลว่าควรบอกความจริงให้แม่รู้หรือไม่
ราวกับแม่สามารถอ่านใจฉันได้จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“หนูมีอะไรอยากบอกแม่ไหมลูก เรามีกันเพียงสองคน หากมีอะไรไม่ปรึกษากันแล้วจะปรึกษาใคร”
คำพูดของแม่ทำให้น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ไหลเป็นทางอาบแก้ม แม่ดึงฉันเข้าไปกอด เวลานั้นฉันไม่มีแรงจะโกหกปิดบังอีกแล้ว จึงบอกความจริงกับแม่ไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ฉันคิดว่าแม่คงจะผละมาตบตีที่พลาดท่าตั้งครรภ์ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ แต่เปล่าเลย แม่ยังคงลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาและพร่ำบอกฉันอย่างใจเย็นว่า
“ไม่เป็นไรลูกๆ”
แม่ไม่ถามฉันสักคำว่าพ่อของลูกคือใคร อาจเพราะรู้ว่าคำถามนั้นอาจทำให้ฉันยิ่งเสียใจ เราจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องการวางแผนในอนาคตแทน ฉันและแม่เห็นพ้องกันว่าจะไม่เอาเด็กออกเพราะถือเป็นการทำบาปครั้งใหญ่ แต่กระนั้นฉันก็ยังอยากเรียนให้จบเพื่อจะได้ช่วยแม่ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกที่จะเกิดมา
แม่แนะนำให้ฉันลาออกมาเสียก่อน เพราะอย่างไรเสียโรงเรียนก็คงไม่ยอม ระหว่างนั้นก็ไม่ให้ทิ้งการศึกษา แม่ให้ฉันพยายามขวนขวายหาความรู้โดยการอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ฉันอยากช่วยแบ่งเบาภาระของแม่จึงไปรับของมาขาย แม้ได้เงินไม่มากแต่ก็ภูมิใจกว่าการทำตัวเหลวแหลกเหมือนในอดีต
หลังจากคลอดลูก ฉันก็ดูแลลูกด้วยตัวเองเพราะไม่อยากผลักภาระให้แม่ขณะเดียวกันฉันก็สมัครเรียนกศน.ควบคู่ไปด้วยเพื่อสานฝันที่วาดไว้ว่าอยากจะเอาใบปริญญามาฝากแม่ให้ได้
ไม่ว่าในอดีตฉันจะเคยเป็นลูกที่แย่แค่ไหนแต่ฉันก็สัญญากับตัวเองไว้ว่าจากนี้ไปฉันจะต้องเป็นแม่และผู้นำครอบครัวที่ดีให้ได้
ข้อคิดจากพระอาจารย์วิชิต ธมฺมชิโต
ไม่มีใครที่ไม่เคยพบความผิดพลาดผิดหวังในชีวิต แม้แต่คนที่เกิดมาเพียบพร้อมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองและอำนาจก็ต้องพบกับความพลัดพรากสูญเสียเข้าในวันหนึ่งแน่นอน เพราะโลกและสรรพชีวิตทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกระแสของเหตุและปัจจัยที่หนุนเนื่องอยู่ มิได้เป็นไปตามใจเราได้ทั้งหมด
ความแตกต่างจึงอยู่ที่ว่าแต่ละคนจะมองและปฏิบัติต่อความผิดพลาด/ผิดหวังนั้นอย่างไร ถ้ามองเป็นก็เห็นทุกข์ ถ้ามองไม่เห็น ก็จะเป็นทุกข์คือนำตัวและชีวิตเข้าไปจมอยู่กับความทุกข์ความเศร้านั้นโดยไม่เห็นว่านั่นเป็นเพียงปัญหาที่เรามีหน้าที่จะต้องจัดการแก้ไขไปตามศักยภาพของเรา
ต้องนับว่าเป็นบุญของเจ้าของเรื่องที่มีแม่ที่รักและเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ตีโพยโวยวาย หรือตำหนิลงโทษเลยแม้แต่น้อย ท่านพร้อมที่จะให้อภัย และเป็นที่ปรึกษาฉุดเราขึ้นมาจากกองทุกข์ ช่วยกันหาทางออกจากปัญหาเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่คิดทำลายชีวิตหลานให้เป็นอีกตราบาปหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจเรา ท่านยังเป็นตัวอย่างที่ดีในการสู้ชีวิตหลังจากสิ้นคุณพ่อไปให้เราเห็นอีกด้วย
ชีวิตนับแต่นี้ไป จึงขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งพากเพียรของตัวเราเป็นสำคัญเริ่มต้นด้วยการให้อภัยตนเองต่อความผิดพลาดในอดีตแล้วมุ่งมั่นทำนำสิ่งดีๆ มาเป็นของขวัญให้แม่ และเป็นที่พึ่งของลูกให้ได้ตามที่ตั้งใจ ขอเป็นกำลังใจให้ฟันฝ่าผ่านปัญหาอุปสรรคที่จะเข้ามาในอนาคต ประสบความสำเร็จ ได้สัมผัสความสุขในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เป็นความสุขจากความรักและการเสียสละอย่างไม่มีประมาณแก่ลูกผู้ที่มาเติมเต็มชีวิตของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไป
ที่มา :True Story นิตยสารซีเคร็ตฉบับ 234 (เดือนมิถุนายน 61)
เรื่อง : เข็ม
เรียบเรียง : Issara R.
ภาพ : 3938030
บทความน่าสนใจ
True story : ขอบคุณ “ความสูญเสีย” ที่ทำให้ฉันเข้มแข็ง