ตอนแรกผม (โดโด้ – ยุทธพิชัย ชาญเลขา) ทำใจไม่ได้จริงๆ กับการที่ต้องสูญเสียครอบครัว นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของผม…
ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครัวกลับคืนมา ผมยอมเปลี่ยนจากการที่เคยมีกฎเกณฑ์ มีข้อปฏิบัติ ข้อตกลงร่วมกัน ยอมเป็นคนที่ทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไขในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการซื้อบ้านหลังใหม่ในขณะที่ผมยังไม่พร้อม
ผมซื้อบ้านหลังใหม่แถวรังสิต เพื่อจะได้อยู่ใกล้ลูกๆ และเป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับอดีตภรรยาตั้งแต่ก่อนบวช ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจกับการรับภาระในการผ่อนบ้านครั้งนี้ แต่โชคดีที่ไม่ต้องวางเงินดาวน์ เพราะเจ้าของโครงการช่วยลดราคาให้เยอะมากรวมทั้งผ่านการกู้เงินได้อย่างปาฏิหาริย์
ผมจำได้ว่าเป็นเวลาทั้งหมด 18 เดือนที่ผมหมกมุ่นและทุ่มเทเวลาเพื่อพยายามรักษาครอบครัวไว้ แต่แล้วมันก็จบลงเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2548 ด้วยความล้มเหลว หลังจากที่ผมและอดีตภรรยาเข้าไปรับคำปรึกษาจากอาจารย์แพทย์ทางด้านจิตวิทยาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยการเข้าโปรแกรมที่เรียกว่า “แฟมิลี่เทอราปี”
ประมาณสี่ห้าเดือนแรกอดีตภรรยาก็ยอมไปด้วย แต่หลังจากนั้นผมก็พยายามอยู่คนเดียวอย่างต่อเนื่อง เพราะทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆและไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหมอบอกผมตั้งแต่หกเดือนแรก
จนวันหนึ่งเมื่อผมบอกคุณหมอว่า “ผมทำใจได้แล้วครับ” คุณหมอบอกผมว่า หมอดีใจด้วย เพราะหมอเห็นแนวโน้มตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้ผล อยากจะบอกผมอย่างนี้ แต่เห็นว่าผมมีความตั้งใจ เลยให้ลองพยายามดู
แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องใหญ่ตามมาอย่างที่ผมไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อน
เหตุการณ์ขึ้นโรงขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต
หลังจากที่ผมทำใจได้แล้วกับการสูญเสียครอบครัว จิตใจของผมก็เข้าสู่ภาวะปรกติ ไม่ทุกข์ ไม่เสียใจ เพราะเวลา 18 เดือนนั้นได้ค่อยๆเยียวยารักษาแผลใจของผมให้ดีขึ้น ที่สำคัญ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมเปลี่ยนความคิด ตั้งความหวังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลับมาทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้ตัวเองมีความสุข เริ่มเล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ปฏิบัติธรรม ทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น เพื่อจะได้ไปรับงานละครต่อ โดยที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่คนเดียวที่รังสิต
แต่สองเดือนหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม ผมไม่เคยมีคดี ไม่เคยมีทนาย ไม่เคยขึ้นศาลไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่แล้วเมื่อทุกอย่างที่ดูเหมือนว่าจะเคลียร์แล้วระหว่างผมกับอดีตภรรยา วันหนึ่งก็กลับเป็นเหตุการณ์รุนแรงใหญ่โตที่ทุกคนเห็นในข่าวผ่านสื่อต่างๆ
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตผมแย่ลงไปอีกครั้งเหมือนกราฟจากที่ตกลงแล้วกำลังจะขึ้น แต่พอขึ้นได้นิดเดียวก็ดิ่งลงอีกเกือบ 90 องศา เปลี่ยนจากพระเอกเป็นผู้ร้ายอย่างเห็นๆ เลยครับ เพราะช่วงชีวิตตอนที่ดัง ผมได้เล่นเป็นพระเอก เป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทยเหมือนกัน แต่พอตอนลงผมก็ลงมาถึงจุดต่ำสุด จนเรียกว่าติดลบด้วยซ้ำ ผมสูญเสียทุกอย่างอีกครั้ง…แต่ครั้งนี้สูญเสียความเป็นตัวตนและความมีชื่อเสียงจนหมดสิ้น นี่จึงเป็นสาเหตุให้ผมหายไปจากสังคมอย่างแท้จริง
สังคมประณาม
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไปอยู่วัด เมื่อจิตใจสงบแล้วก็กลับออกมาสู่สังคมอีกครั้งและยังเจอคนติฉินนินทาอยู่เหมือนเดิม บางคนก็พูดตรงๆ ต่อหน้าว่า “ไม่ได้นะ ลูกคุณ…ทำไมคุณไม่รับผิดชอบ” บางคนก็เดือดร้อนจริงจังเลย ถึงขนาดพูดกับผมว่า “เฮ้ย…นี่ไง โดโด้ที่ทำร้ายเมีย โห…มันไม่รับผิดชอบลูกเมีย” ผมจะโดนคนต่อว่า ว่าทำร้ายครอบครัวและไม่รับผิดชอบครอบครัว ทั้งที่ความจริงในช่วงที่ครอบครัวเราพร้อมหน้า ผมดูแลครอบครัวมาตลอด
ส่วนใหญ่ผมยิ้มให้และเฉยๆ ไม่โต้ตอบใดๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งที่มาด้วยกันกับผู้หญิงที่กำลังยืนต่อว่าผมพูดเตือนผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณไปรู้เรื่องของเขาจริงๆ เหรอ คุณถึงไปว่าเขาแบบนั้น” ผมก็บอกผู้ชายคนนั้นว่า “ขอบคุณครับที่พยายามเข้าใจ ขอบคุณครับที่ยังมีการพิจารณาให้ถี่ถ้วน”
ผมไม่เคยโกรธคนที่ต่อว่าผมเลย กลับมีความรู้สึกเมตตาสงสารเขามากกว่า เพราะหนึ่ง เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง สอง ผมคิดว่าคนเราก็แปลกเนอะ เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ แต่กลับนำมาเป็นความเศร้าหมองของตัวเอง รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นทุกข์กับเรื่องของผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เลยรู้สึกสงสารพวกเขาจริงๆ ผมพยายามแผ่เมตตาให้เพราะไม่อยากให้ผมเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ของพวกเขาและต้องมีกรรมติดตามไปชดใช้กันอีก
วิเคราะห์ตัวเอง ผมบกพร่องตรงไหน
เหตุการณ์ทั้งหลายในชีวิตที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยคิดว่าเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คิดว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของความผิดพลาดล้มเหลวนี้ ผมมานั่งวิเคราะห์ตัวเองก็พบว่า มีนิสัยที่นำไปสู่ปัญหาคือผมเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง เจ้าหลักการ ทำให้แสดงความเป็นตัวเองออกมาโดยไม่ได้สนใจใคร ถ้าเป็นคำพูดสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า “ไม่แคร์สื่อ” ทั้งการแต่งตัวและการวางตัวในสังคม ไม่ใช่ผมทำตัวไม่ดี แค่บางครั้งไม่ถูกกาลเทศะ
โดยเฉพาะเรื่องที่ผมเป็นคนประหยัด “จนมือสั่น” เมื่อก่อนเวลาจะหยิบเงินมาใช้จ่าย ผมจะมือสั่นทุกครั้ง ครั้งหนึ่งผมทำหน้าที่ขับรถให้พระอาจารย์มิตซูโอะ ทุกครั้งเวลาจะหยิบเงินจ่ายค่าทางด่วน มือผมจะสั่นเล็กน้อย บางครั้งถึงกับทำกระเป๋าสตางค์ตกจนพระอาจารย์สังเกตเห็น ท่านก็พูดคุยซักถาม ผมจึงเล่าที่มาของอาการนี้ให้ท่านฟังว่า
สมัยเด็กๆ ด้วยความที่ครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวย มีเงินแค่พอมีพอกิน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายให้พอกับเงินที่มี ถ้าครั้งไหนเกิดเกินตัวขึ้นมา ก็เกรงว่าเงินที่มีอยู่จะไม่พอจ่าย เช่น ในร้านอาหารเวลาเรียกเช็คบิล ผมจะคำนวณในใจว่าเงินมีพอจ่ายไหมหนอถ้าไม่พอต้องขายหน้าเขาแน่ๆ เพราะเมื่อก่อนร้านอาหารไม่ได้บอกราคาในเมนูด้วย เลยต้องนั่งลุ้นจนเหงื่อแตก พอบิลเก็บเงินมาถึง ตอนจะเปิดกระเป๋าหยิบเงิน มือผมจะสั่นขึ้นมา อาการนี้เพิ่งจะหายไปเมื่อไม่นานนี้เอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลายเป็นคนมัธยัสถ์ไปโดยอัตโนมัติ
แต่อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งความประหยัดก็ส่งผลดีกับผมตอนเด็กๆ ผมต้องทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายเพื่อเบิกค่าขนมกับคุณแม่ ถ้าไม่ทำบัญชี อาทิตย์ต่อไปก็จะไม่ได้เงิน ผมต้องทำมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เลยติดเป็นนิสัยมาจนถึงทุกวันนี้ เวลาใช้เงินผมจะคำนวณให้พอดีและเหมาะสมกับสถานะ ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้เยอะ
โชคดีที่ตอนเป็นดาราผมไม่ฟุ้งเฟ้อมากนัก ไม่ขับรถหรูหราไม่ปรุงแต่งตัวเองด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ไปร้านอาหารหรูๆ
ส่วนใหญ่ผมใช้เงินไปในการซื้อทรัพย์สินมากกว่า จึงมีภาระที่จะต้องผ่อน ทั้งบ้านหลังใหญ่ คอนโดมิเนียมสามห้อง ที่ดินสองผืน และรถยนต์อีกสองคัน เป็นภาระที่หนักอยู่ จึงต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายให้ดีที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจริงๆ ก็น่าจะหมดไปกับการดูหนัง ฟังเพลง ซื้อเครื่องเสียง หรือซื้อของแต่งบ้านเท่านั้น ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเสียเงินกับอย่างอื่นสักเท่าไร
การเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ในการใช้จ่ายดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีแต่นั่นแหละครับ ต่อมาภายหลังก็กลายมาเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน
เมื่อผมใช้ชีวิตแบบ “ตึง” เกินไป ผมเป็นคนที่เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบไม่เล่นการพนัน ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป เพราะส่วนหนึ่งกลัวเสียเงินจนทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยมีเพื่อน เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็ไม่มีเพื่อนคอยปรับทุกข์มากนัก ตอนหลังเมื่อผมเริ่มปฏิบัติธรรม จึงได้รู้ว่าการมีกัลยาณมิตรเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก มากกว่าการมีเงินทองด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น ก่อนหน้านี้นิสัยที่ไม่ดีอย่างหนึ่งของผมคือ “ผมทำตัวเป็นลูกโป่ง” ทั้งอัตตาสูงและเก็บกดอารมณ์ที่ไม่พอใจไว้กับตัว เชื่อว่าภาพหนึ่งที่ผู้คนเคยเห็นผมก่อนหน้านี้คงเป็นภาพผู้ชายใจร้อนขี้โมโห เอะอะโวยวาย อาการใกล้เคียงกับผู้ที่ก้าวเข้าสู่วัยทอง คือพร้อมจะระเบิดอารมณ์ตลอดเวลา…
จริงๆ แล้วผมเป็นคนอย่างไรกันแน่ ผมเลวร้ายอย่างนั้นจริงๆ หรือ รวมทั้งปฏิบัติธรรมแล้วชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
คราวหน้าจะเล่าให้ฟังครับ…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)