สังเกตตัวคุณเองว่ามีอาการ ตาแห้ง หรือไม่ หากมี ชีวจิตขอแนะนำ 4 อาหาร ใกล้ตัวต่อไปนี้
คุณเคยรู้สึก ตาแห้ง ตาพร่ามัว หรือเคืองตา ต้องกะพริบตาถี่ๆ คล้ายมีเศษผงเข้าตา จนทำให้มองภาพไม่ชัด หรือบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นเมือกเหนียวกันบ้างไหมคะ
ถ้าเคย แสดงว่าคุณกำลังมีอาการตาแห้งแล้วละ เพื่อนๆ ที่ทำงานหลายคนมักบ่นว่ามีอาการเช่นนี้เหมือนกัน เพราะต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
สำรวจสาเหตุของอาการตาแห้ง
ตาแห้งเป็นอาการที่มีความผิดปกติของน้ำตา โดยปกติดวงตาของคนเราจะมีปริมาณน้ำตาเพียงพอที่จะมาหล่อเลี้ยงหรือให้ความชุ่มชื้นกับดวงตา รวมถึงฉาบกระจกตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน
ส่วนอาการตาแห้งเกิดจากการมีปริมาณน้ำตาน้อย หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งน้ำตาที่ดีมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนได้แก่ ไขมัน น้ำใส และเมือก หากส่วนประกอบ 1 ใน 3 ของน้ำตาขาดความสมดุลหรือไม่มีคุณภาพจะทำให้ตาแห้งได้
อาการนี้เป็นได้ทุกเพศ แต่มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และจะพบมากขึ้นตามวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนที่ลดลง ทำให้สารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งน้ำตาก็ลดปริมาณลงไปด้วย นอกจากนี้อาการดังกล่าวยังเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ ดังนี้
- ภาวะที่ทำให้เส้นประสาทรับความรู้สึกที่ตาลดลง เช่น การใส่คอนแท็คท์เลนส์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีคุณภาพ การผ่าตัดกระจกตาหรือเปลี่ยนกระจกตา การอักเสบของกระจกตาจากเชื้อเริม นอกจากนี้ยังรวมถึงการเป็นอัมพฤกษ์ที่ใบหน้า
- โรคที่ผิดปกติทางภาวะภูมิคุ้มกัน (Autoimmune) เช่น โรค Sjogren’s Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้งร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง โรคข้อบางชนิด หรือโรคเอดส์
- โรคบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบกับเยื่อบุตา เช่น กลุ่มอาการแพ้ยา อย่างสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens – Johnson) ริดสี-ดวงตา และเบาหวาน
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ ยาลดความดัน-โลหิตบางชนิด
- การทำงานของเปลือกตาบกพร่องเช่น หลับตาไม่สนิท กะพริบตาน้อยเปลือกตาผิดรูป
- สภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอากาศแห้ง หรือมีฝุ่นควัน ลมและแดดจ้า
- อาชีพที่ต้องใช้สายตาจ้องเป็นเวลานาน เช่น พนักงานคอมพิวเตอร์ ช่างเชื่อมเหล็ก หรือยามที่เฝ้ากล้องวงจรปิด
แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลใจกันไปค่ะ เพราะผู้ที่มีอาการตาแห้งส่วนใหญ่มักเป็นในระดับไม่รุนแรง แค่ก่อความรำคาญใจ แต่ไม่ทำให้ตาบอดได้
คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป
เทคนิคเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
- กะพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติ คนเราจะกะพริบตานาทีละ 20 – 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กะพริบตา เปลือกตาจะรีดน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่งตาค้างไว้นานกว่าปกติ เช่น เวลาที่เราอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือจ้องคอมพิวเตอร์จะทำให้เรากะพริบตาเพียง 8 – 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้นจึงควรพักสายตาระยะสั้นๆ โดยการหลับตาหรือกะพริบตาอย่างช้าๆ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 2 – 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง
- ประคบดวงตาด้วยน้ำเย็น แช่ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืนในน้ำเย็น หยิบขึ้นมา 1 ผืนบิดพอหมาด และพับทบเป็นผืนยาว วางปิดดวงตาไว้ทั้งสองข้างนานประมาณ 20 นาทีหรือจนกว่าผ้าจะหายเย็น แล้วจึงใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งประคบ สลับกันไปมา จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาของคุณได้เช่นกัน
กินอาหารลดอาการตาแห้ง
หากปริมาณน้ำที่มาหล่อเลี้ยงดวงตาไม่เพียงพอ อย่าลืมว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มีส่วนช่วยผลิตน้ำตาเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
- กล้วย กินกล้วยทุกวัน เพราะกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจะทำงานร่วมกับโซเดียมเพื่อรักษาภาวะสมดุลน้ำในร่างกาย และช่วยให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ถั่วประเภทนัท (Nut) ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะวอลนัท ควรรับประทานวันละประมาณ 1 กำมือ เพราะถั่วประเภทนี้มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวหรือกรดไขมันโอเมก้า – 3 สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เป็นส่วน
ประกอบสำคัญในน้ำตา
- ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่าหรือปลาแซลมอน เพราะมีกรดไขมันที่จำเป็นหรือโอเมก้า – 3 ด้วย
- น้ำมันปอ (Flexseed oil) หรือน้ำมันเมล็ดลินิน จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า – 3 อย่างเพียงพอ โดยรับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ หรือผสมในซีเรียลก็ได้
นอกจากนี้อย่าลืมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีด้วยค่ะ ปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป
ต่อไปนี้เป็นการปฏิบัติตัวเพื่อดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี มีวิธีง่ายๆ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการทำงานในบริเวณที่มีแสงจ้าและลมแรง เพราะจะทำให้ตาแห้งเร็ว ควรใส่แว่นกันแดดช่วย โดยเลือกแว่นขนาดใหญ่ที่มีขอบด้านข้าง เพื่อช่วยลดการระเหยของน้ำตา
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศแห้งและเย็นจัด เช่น ห้องปรับอากาศ ตลอดจนหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละอองและควันต่างๆ เช่น บุหรี่ ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองตา
- อย่าเป่าลมร้อนจากเครื่องเป่าผมเข้าตาโดยตรง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเป่าเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดนตาหรือใบหน้าโดยตรง
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พออาจทำให้ตาแห้งและตาแดงช้ำ เนื่องจากเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงดวงตาบวม การพักผ่อนให้สมดุลจึงดีต่อดวงตาที่สุด
คราวนี้ไม่ว่าจะคุณแม่หรือเพื่อนๆก็กลับมามีสุขภาพดวงตาที่สดใสได้อีกครั้งแล้วค่ะ
ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อ
- มีอาการตาแห้งและระคายเคืองตานานมากกว่า 2 – 3 วันขึ้นไป
- มีการอักเสบของเยื่อตาและกระจกตา ทำให้ตาแดง มีเมือกในตา เจ็บตา หรือผิวกระจกตาหนาขึ้น ลักษณะคล้ายผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้ตามัวถาวรได้
ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 239