บ.ก.พาเที่ยว แช่ออนเซ็น @เจแปน
บทความนี้น่าจะไม่ได้ตอบคำถามใคร (หรืออาจจะมีคนอยากรู้ แต่ไม่มีใครกล้าถาม ฮา ฮา) คือ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บ.ก.แอบหนีหน้าจากบริษัทอมรินทร์ฯ ไปตะเวนแช่ ออนเซ็น แถวเกาะใต้หรือคิวชู ประเทศญี่ปุ่นค่ะ
ถ้าถามว่าออนเซ็นหรือน้ำพุร้อนดีอย่างไรต่อสุขภาพ เพื่อนๆ ผู้อ่านชีวจิตคงรู้กันดีว่า น้ำพุร้อนจากใต้พื้นโลกที่ผุดขึ้นมาให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์นั้น อุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์ ช่วยรักษาโรคและอาการบางอย่างของมนุษย์ ซึ่งถ้าจะว่าไป แหล่งน้ำพุร้อนมักอยู่บริเวณที่เคยเป็นภูเขาไฟ ซึ่งแน่นอนย่อมเป็นบริเวณที่มีทางลาดชันมากมาย โดยมนุษย์สมัยก่อนต้องใช้ความยากลำบากในการเดินทางติดต่อกัน ไปมาหาสู่กันและกัน รวมไปถึงการทำมาหากินอยู่บริเวณที่สูงแบบนั้น
ลองจินตนาการดูสิคะว่า การใช้ชีวิตในบริเวณที่ลาดชันหรือราบสูงนั้นไม่ได้ง่ายเลย เฉพาะแค่พวกเราทุกวันนี้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เดินไปเดินมาอยู่บนพื้นที่ราบ เรายังเหนื่อยหนัก สวมรองเท้าผิดก็ทำให้ปวดฝ่าเท้า ปวดเข่า ปวดหลัง อายุมากหน่อยโรคปวดเข่าก็ถามหา ฉะนั้นผู้คนเหล่านั้นย่อมมีปัญหาดังกล่าวมากกว่าเรา ธรรมชาติเลยสร้างน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุจำเป็นต่อกระดูกและข้อขึ้นมา เพื่อช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมสุขภาพผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
ว่ากันตามหลักภูมิศาสตร์ (เพื่อนบ.ก.ชาวญี่ปุ่นเรียนจบด้านนี้มาโดยตรง ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัท JR หรือ JAPAN RAILWAY) โดยเพื่อนบอกว่า มีหลักฐานยืนยันว่า แหล่งน้ำพุร้อนแต่ละแห่งในโลก มีแร่ธาตุแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุร้อนเมืองระนองหรือเชียงใหม่ของเรา แหล่งน้ำพุร้อนในเมืองโรโตรัว ทางเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์ หรือกระทั่งแหล่งน้ำพุร้อนบริเวณเมืองต่างๆ รวมทั้งทางเกาะใต้ของประเทศญี่ปุ่น
เปปปุ : ประตูนรก
นั่นคือการมองกันในด้านความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ที่นำไปสู่ความแตกต่างทางการนำมาใช้ ส่วนด้านความเชื่อนั้น พบว่าแม้จะไม่ใช่ 1 ใน 13 สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Gate of Hell ตามความเชื่อของคริสต์ศาสนา แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็เรียกสถานที่ที่มีควันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินตลอดเวลาว่าเป็น Gate of Hell (ประตูนรก) ของญี่ปุ่น ซึ่งเมืองนั้นคือ Beppu ออกเสียงว่า เปปปุ ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะคิวชู ระหว่างโออิตะและคูมาโมโต้ ชาวญี่ปุ่นเรียกบ่อน้ำพุร้อนเหล่านี้ว่า Jigoku ซึ่งแปลว่า “นรก”
ความน่ารักของเมืองนี้ นอกจากควันไฟที่พวยพุ่งอยู่ทั่วเมืองแล้ว ยังมีบ่อน้ำพุร้อน 7 สี 7 คุณสมบัติ https://izanau.com/article/beppu-hells ให้ได้ลองแช่ โรงแรมทุกแห่งในเมืองที่มีบริการออนเซ็นบนดาดฟ้า (คิดรวมไปกับราคาโรงแรมแล้ว) และศูนย์การแพทย์ผสมผสานมากมาย ที่นอกจากให้บริการการตรวจวินิจฉัยแบบแผนปัจจุบันแล้ว ยังเพิ่มบริการการแช่น้ำพุร้อนลงไปในคอร์สการรักษาด้วย นอกจากนี้ยังมีศูนย์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุอีกมากมาย แถมด้วยร้านอาหารที่ใช้ความร้อนจากใต้ดินมานึ่งอาหารให้สุกไว้บริการ (มี 2 แห่ง และควรต้องจองล่วงหน้า) ซึ่งมีสถานบริการอบซาวน่าให้ฝ่าเท้า และบ่อน้ำพุร้อนสำหรับแช่ฝ่าเท้าฟรี อยู่ใกล้ๆ อิอิ…สองปีก่อน บ.ก.มากินอาหาร แต่ไม่แช่เท้า รอบนี้บ.ก.แช่เท้า แต่ไม่กล้ากินอาหาร เพราะแอบตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย ที่ไอร้อนสำหรับปรุงอาหาร และไอร้อนสำหรับอบเท้าและแช่เท้ามาจากแหล่งเดียวกัน และใกล้กันมาก 555
มีข้อสังเกต หรือข้อพึงระวัง สำหรับคนรักสุขภาพที่ต้องทราบนิดหนึ่งคือ หากแบ่งเมืองเปปปุออกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งเนินเขา และฝั่งชายทะเล โดยคนรักสุขภาพต้องมุ่งหน้าไปทางฝั่งเนินเขาค่ะ ซึ่งเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อน คลินิกและศูนย์สุขภาพ ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลโดยตรง
ส่วนฝั่งชายทะเลนั้นจะเหมาะสำหรับผู้ชายที่เมียมาเที่ยว เพราะบ่อน้ำร้อนที่ให้บริการให้แถบนี้ จะมีสาวๆนุ่งน้อยห่มน้อย มาช่วยถูขี้ไคลให้ อิอิ
บ.ก.ใช้เวลาอยู่ที่นี่ 1 วัน 1 คืน ค่ะ ได้มีโอกาสกินอาหารญี่ปุ่นพื้นบ้านราคาถูกในตลาดบ้านๆ ใกล้สถานีรถไฟ JR ของเมืองเปปปุด้วยค่ะ
บ่อน้ำพุร้อน 7 แห่ง
- บ่อน้ำพุร้อนสีฟ้า Umi Jigoku ลึกประมาณ 2 เมตร ล้อมรอบปากบ่อด้วยต้นซากุระ สวยงามน่าชม ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน
- บ่อโคลนร้อน (Oniishibozu Jigoku) สำหรับแช่เท้าเท่านั้น
- บ่อน้ำพุร้อนสีเขียว (Yama Jigoku) เป็นบ่อน้ำร้อนที่เต็มด้วยสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำแหวกว่ายอยู่ ซึ่งคงไม่ใครกล้าลงอาบ
- บ่อน้ำพุร้อนยักษ์คามาโด เป็นบ่อน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมาก เหมาะสำหรับการต้มไข่ ซึ่งจะนำมาบริการนักท่องเที่ยว พร้อมชา กาแฟ และขนม
- บ่อน้ำพุร้อนสีขาว (Shirake Jigoku) ด้วยความที่มีควันสีขาวพวยพุ่งมาตลอดเวลานั่นเอง จึงได้ชื่อบ่อน้ำพุร้อนสีขาว เป็นบ่อที่ล้อมรอบไปด้วยสวนญี่ปุ่นน่ารัก น่าไปนั่งพักผ่อน
- บ่อน้ำพุร้อนสีแดง (Chinoike Jigoku) เป็นน้ำร้อนสีสันแปลกตา ว่ากันว่าช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ทุกชนิด
- บ่อน้ำพุร้อนน้ำตก (Tatsumaki Jigoku) เพราะจะมีน้ำพุพุ่งขึ้นจากใต้ดินทุกๆ 30 นาที และสูงขึ้นฟ้าไปถึง 50 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า การมาแช่ออนเซ็นเพื่อสุขภาพ
คุโรกาว่า : หมู่บ้านออนเซ็นของคนญี่ปุ่น
ไม่น่าเรียก “คุโรกาว่า” ว่าเมืองค่ะ เรียกว่าเป็นหมู่บ้านดีกว่า ตั้งอยู่ในจังหวัดคุมาโมโต้ ใกล้กับภูเขาไฟอะโสะที่ยังคุกรุ่นอยู่ และเมื่ออยู่ใกล้ภูเขาไฟ ย่อมเป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำพุร้อนที่น่าสนใจ โดยชาวญี่ปุ่นนิยมใช้วันหยุดสุดสัปดาห์มาพักผ่อนที่นี่ ซึ่งทั้งหมู่บ้านให้บริการที่พักแบบโฮมสเตย์ หรือชาวญี่ปุ่นเรียกว่า เรียวกัน ที่นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสสวมชุดยูกะตะแบบญี่ปุ่น นอนในห้องพักแบบญี่ปุ่นโบราณ และกินอาหารตามแบบญี่ปุ่นโบราณ นอกเหนือจากการอาบน้ำพุร้อนที่มีบริการอยู่ในทุกที่พัก
ประสบการณ์ในเรียวกันที่คุโรกาว่านี้น่าสนใจมาก เมื่อเช็คอิน เราจะต้องทำตัวแบบคนญี่ปุ่น สวมชุดยูกะตะดังกล่าว ถ้าจะไปอาบน้ำพุร้อนในบริเวณที่พักก็ทำได้ มีทั้งแบบอินดอร์ ที่มีสองแบบคือ 1. ห้องอาบน้ำสำหรับครอบครัว และห้องอาบน้ำด้วยน้ำพุร้อนสมุนไพร 2. ห้องอาบน้ำแบบส่วนตัว โดยที่กล่าวมาทั้งหมดต้องจองทั้งสิ้น ส่วนห้องอาบน้ำแบบเอาท์ดอร์ ที่อยู่บนดาดฟ้าของที่พัก จะเป็นห้องอาบน้ำรวม โดยแยกหญิงชาย ซึ่งเมื่อไปถึง ก็มักไม่มีใครอยู่ นอกจากเราและเพื่อนสาวของเรา ซึ่งก็จะทำให้อายน้อยหน่อย อิอิ
กล่าวกันว่า “น้ำพุร้อนไม่เพียงแต่จะประกอบด้วยสารละลายแร่ธาตุต่างๆ เท่านั้น แต่น้ำพุร้อนยังมีแรงดันซึ่งจะช่วยกระตุ้นสภาพของร่างกาย ท่านควรปล่อยให้น้ำพุร้อนพยุงตัวให้ท่านลอยขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งการพยุงตัวลอยเหนือน้ำพุร้อนนี้จะทำให้ร่างกายปลอดโปร่ง และเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นทำให้สภาวะแวดล้อมภายในมดลูกและช่องท้องดีขึ้น การอาบน้ำร้อนจะทำให้รูขุมขนของร่างกายเปิดกว้างออก เป็นการทำความสะอาดรูขุมขน และช่วยทำให้แร่ธาตุในน้ำพุร้อนไหลถ่ายเทตามรูขนเข้าไปในร่างกาย การอาบน้ำพุร้อนเป็นการทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด และเป็นการทำให้เกิดความสมดุลในระบบประสาท” ฉะนั้นการลงบ่อน้ำพุร้อนแต่ละครั้ง (3 วัน บ.ก.ลงบ่อ 5 ครั้ง) จึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดเครียดและความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
นอกจากการอาบน้ำแล้ว ประสบการณ์การเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ที่เต็มไปด้วยคนสวมชุดยูกาตะก็น่ารักดี โดยเฉพาะการเสิร์ฟอาหาร ตัวอาหารการกินเอง ทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ก็น่าสนใจ เพราะอาหารญี่ปุ่นแบบโบราณ ย่อมไม่ใช่เมนูที่เราเห็นในเมือง หรือเมนูที่อยู่ในบ้านเราแน่ๆ
ที่เหลือจากที่เล่ามาทั้งหมดอีก 3-4 วัน บ.ก.ก็ไปเดินชมวัด สวนสาธารณะ ปราสาท และแหล่งช็อปปิ้ง อิอิ ตามสไตล์คนไทย ซึ่งเชื่อว่าผู้อ่านคงสามารถอ่านได้จากแหล่งข้อมูลท่องเที่ยวอื่นๆ ส่วนภาพประกอบในเรื่องทั้งหมด ฝีมือ บ.ก.เองค่ะ
อ้างอิง
https://izanau.com/article/beppu-hells
http://www.dmr.go.th/main.php?filename=type
บทความน่าสนใจอื่นๆ
6 สเต็ปโค้ชตนเอง เพื่อสุข สดใส มีพลัง