แพ้ยา…จนตาบอด
“ก่อนหน้านี้ป้าเคยแพ้ยาซัลฟา ฉีดแล้วผิวมันพองขึ้นมาเลย แต่หมอช่วยไว้ทัน หมอให้ยาให้น้ำเกลือ มาครั้งนี้หมอบอกป้าว่าคออักเสบต้องฉีดยา ป้าเลยกำชับหมอว่า ‘คุณหมออย่าลืมนะว่าหนูแพ้ยาซัลฟา’ แล้วหมอก็เขียนใบสั่งยา ให้ภรรยาซึ่งเป็นพยาบาลเป็นคนฉีด ป้าเห็นเขาผสมตัวยา 3 ตัวนะ ก็ไม่รู้ว่าอะไร พอฉีดเสร็จขาชาจนเดินไม่ได้ เขาก็ให้ป้าไปนอนพักครึ่งชั่วโมงก็พอเดินได้ ป้าก็กลับไปทำงานต่อ”
คุณป้าดอกรัก เพชรประเสริฐ เป็นพนักงานทำความสะอาดของห้างแห่งหนึ่ง เธอเล่าต่อว่า ขณะทำงานก็มีอาการใจสั่น อ่อนเพลียแต่ก็คิดว่าเป็นเพราะพิษไข้จึงอดทนกินยาแก้ปวดต่อไป จนรุ่งเช้าตื่นมา พบว่ากระพุ้งแก้มในปากยุ่ยออก เนื้ออ่อนที่ต้นแขนพองเหมือนโดนเตารีดนาบ ส่วนที่ตาก็มีน้ำสีเหลืองไหลซึมออกมา เมื่อพบคุณหมอจึงบอกอาการ ประวัติการรักษาว่าตนเพิ่งไปฉีดยามาเมื่อวาน สงสัยว่าจะแพ้ยา แต่หมอวินิจฉัยว่าไม่ใช่การแพ้ยาเป็นเพียงแค่พิษไข้ ส่วนตาเป็นแค่การอักเสบ เมื่อกลับถึงบ้านคุณป้าดอกรักกลับพบว่าอาการของตนเองทรุดหนักลงปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว และอาเจียนเป็นเลือด สุดท้ายเมื่อกลับไปถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอรับตัวไว้แต่ยังไม่ทำการรักษาเพราะต้องการรอหมอจากคลินิกซึ่งเป็นผู้ฉีดยาให้มาตรวจรักษา จนอาการคุณป้าดอกรักทรุดหนักจนต้องนำเข้าห้องไอซียู
9 ปีแล้วที่พิษร้ายจากการฉีดยาผิดทำให้กระจกตาของคุณป้าดอกรักทะลุ ท่อน้ำตาตัน ท่อน้ำลายตัน ปอดแฟบไปข้างหนึ่ง ลำไส้บวม คุณป้าดอกรักต้องทรมานอยู่ในโลกมืดอย่างอ่อนแรงกับลูกสาววัย 11 ปี ซึ่งทำหน้าที่ลูกอย่างแข็งขันทั้งจูงแม่ตาบอดขึ้นรถเมลย์ไปหาหมอ ทั้งตั้งใจเล่าเรียนเพื่อให้แม่ชื่นใจ โดยทั้งคู่ไม่มีใครจุนเจือรายได้เลย มีเพียงเงินก้อนเล็กๆที่ได้จากการชนะคดีซึ่งเทียบไม่ได้กับชีวิตและอนาคตที่เหลืออยู่ของคนทั้งคู่เลย
ป้าดอกรักฝากถึงหมอและผู้อ่าน
“ป้าไม่เคยคิดฟ้องร้องหมอเลยนะ อยากได้คำขอโทษจากหมอแค่นั้น ตอนป้าไปหาหมอก็ฝากความหวังไว้กับหมอ เพราะเราไม่ใช่คนเรียนหนังสือมาเยอะ แต่หมอเรียนมา หมอเอาหลักการมารักษาคนไข้ แต่หมอก็ต้องฟังคนไข้ด้วยนะ ถ้าไม่ฟังคนไข้มันจะเกิดความผิดพลาดได้มาก “สำหรับตัวป้าก็ได้คิดว่า หนึ่ง เราไม่ควรนิ่งนอนใจ อย่าห่วงงานมากกว่าสุขภาพ กรณีป้าถ้ารีบรักษาทันที ไม่ปล่อยข้ามคืนข้ามวันนะ ป้าจะไม่เป็นอย่างนี้เลย สอง ถ้าเราแพ้ยาต้องแจ้งหมอพยาบาลทุกครั้งนะ ถ้าเขาจะฉีดยาต้องถามย้ำให้แน่ใจเสียก่อนว่าไม่ใช่ตัวยาที่เราแพ้”