วินิจฉัยไม่รอบคอบทำอัมพาต
โรคเอสแอลอีเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของ คุณจุ๊ – ศิริรัตน์ จั่นเพชร ต้องเปลี่ยนไป คุณหมอให้เธอรับประทานยากดภูมิ และให้ดูแลตัวเองดีๆ เพราะจะกลายเป็นคนที่ติดเชื้อได้ง่าย ที่สำคัญห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาด คุณศิริรัตน์ปฏิบัตตัวตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด แม้ว่าวันหนึ่งเธอจะปวดหลังมากแต่ก็ไม่อยากไปหาหมอคนอื่นเพราะกังวลเรื่องการกินยาผิด
“จุ๊บอกหมอว่าปวดหลังมาก อยากให้ช่วยเอกซเรย์ให้ แต่หมอบอกว่าแค่ปวดหลังธรรมดาไม่ต้องเอกซเรย์หรอก สุดท้ายหมอให้ยาแก้ปวดแล้วให้จุ๊กลับบ้านโดยไม่ได้เอกซเรย์ ซึ่งพอกลับมาบ้านอาการปวดหลังก็ยังไม่หายและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จุ๊ก็ทนกินยาไปเรื่อยๆ จนวันที่สองจุ๊ปวดมากจนชักหมดสติไปเลย พ่อแม่เลยนำส่งโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลหมอจึงเอกซเรย์ให้ ปรากฎว่าเกิดการอักเสบเป็นหนองติดเชื้อที่ไขสันหลัง หมอให้ผ่าตัดด่วน”
เมื่อออกจากห้องผ่าตัดคุณจุ๊ตื่นมาพบว่าตัวเองมีอาการชาตั้งแต่ราวนมลงไปถึงขา และไม่มีแรงจะขยับตัว ซึ่งเมื่อสอบถามแพทย์เวรที่เข้ามาตรวจอาการก็บอกว่า เป็นฤทธิ์ของยาบล็อกหลัง ให้ทำกายภาพบำบัดเดี๋ยวอาการจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม จนเวลาผ่านไปนานนับเดือน อาการชาก็ยังไม่หาย และเมื่อเธอต้องการพบหมอที่ทำการผ่าตัดว่าเพื่อสอบถามข้อมูลการรักษาก็ถูกปฏิเสธ
คุณจุ๊รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบ 3 เดือน แต่ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับอาการอัมพาตท่อนล่างของเธอเลย คำอธิบายมีเพียงให้ทำกายภาพแล้วจะกลับมาเป็นปกติ จนบัดนี้เวลาผ่านมา 4 ปี เธอต้องอยู่กับความพิการโดยเพิ่งได้ทราบว่า การรักษาที่ผิดพลาดของหมอเริ่มต้นตั้งแต่ ครั้งที่หมอไม่ได้ตรวจดูผลเลือดของเธออย่างละเอียดว่า ปริมาณเม็ดเลือดขาวในเลือดของเธอสูงมากผิดปกติซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง แต่หมอก็ละเลยไม่ได้ใส่ใจ หากหมอทำการเอกซเรย์ก็จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เชื้ออักเสบลุกลามเกินแก้ไข
ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งแต่งงานได้สองเดือนแต่ต้องกลายเป็นอัมพาตและในที่สุดชีวิตครอบครัวของเธอก็ต้องอับปางลง คุณจุ๊ต้องอยู่กับพ่อและแม่ซึ่งเป็นที่พึงทั้งทางใจและทางกาย
คุณศิริรัตน์ฝากถึงผู้อ่าน
“เพราะจุ๊เชื่อคุณหมอว่า ถ้ากินยาแก้ปวดแล้วอาการจะดีขึ้น แต่แท้จริงแล้วอาการปวดนั้นไม่ลดลงเลย แต่จุ๊ก็ยังเชื่อไม่ยอมเชื่อความรู้สึกตัวเอง สิ่งที่เราได้คือ หนึ่ง เราควรสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองให้ดีๆ “สอง ถ้าจะมีการผ่าตัดคนไข้ควรคุยกับหมอถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างละเอียด ถ้าคนไข้ไม่มีสติควรมีญาติที่รู้เรื่อง สาม เราต้องกล้าที่จะถามหมอ ถ้าหมอไม่ตอบก็เป็นอีกเรื่องแต่เราควรกล้าที่จะถามเพราะเป็นเรื่องสุขภาพของเราโดยตรง”