กำจัดสิวให้หมดไป ด้วยการฝึกท่าก้มหัวช่วยรักษาสิว
รักษาสิว ด้วยตนเอง แบบไม่ต้องเสียสตางค์ สามารถทำได้จริงค่ะ แต่ก่อนอื่น เราต้องรู้ที่มาของสิวกันเสียหน่อย อาจารย์สาทิส อินทรกําแหง กูรูต้นตํารับชีวจิต เคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 และ 1 มิถุนายน 2551 ว่าสิวมักจะเกิดจากฮอร์โมนเพศที่ไม่สมดุล ร่วมกับการกินอาหารหวานมัน รวมถึงแพ้อาหารหรือแพ้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์และยาคุมกําเนิด
ทั้งนี้ สิวมี 2 ประเภทคือ สิวธรรมดาหรือสิวหัวขาว(Acne Vulgaris) จะเกิดในช่วงวัยหนุ่มสาวอายุตั้งแต่ 15-25 ปี ที่มีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ ทําให้มีสิวขึ้นบริเวณแก้มสองข้างหน้าผาก คอ และหลัง เมื่ออายุเริ่มใกล้ 25 ปี ก็จะค่อยๆ หายไปเอง แต่สิวชนิดที่สองคือ สิวจมูกแดงหรือสิวหัวช้าง(Acne Rosacea) เป็นสิวอักเสบเรื้อรังที่มักเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ที่กินอาหารผิดๆ โดยเฉพาะอาหารกลุ่มแป้งขาว ของหวานของมันมากเกินไป
ปฏิวัติตัวเองต้านสิว
วิธีการแก้สิวแต่ละจุดดังกล่าวยังไม่ใช่การแก้ไขปัญหาสิวอย่างถาวร คุณหมอเน้นว่า หากอยากให้สิวหายไปโดยไม่กลับมาเป็นอีก ต้องดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เน้นปรับสมดุลร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติ สิวที่เป็นก็จะหาย และสิวใหม่ก็จะไม่มากวนใจอีกค่ะ การดูแลตัวเองแบบองค์รวมนี้แบ่งออกเป็น 7 ขั้น ดังนี้
1. ออกกําลังกาย
ควรออกกําลังกายให้เหงื่อโซมกาย หัวใจเต้นแรง ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี ออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ รวมไปถึงผิวหนังได้เต็มที่ และยังช่วยขับท็อกซินออกจากร่างกายได้อีกทางหนึ่ง
EXERCISE ON, ACNE GONE
-ยืนตรง เท้าชิด ประสานมือไว้บริเวณด้านหลังสะโพก
-หายใจเข้า พร้อมกับยืดอกขึ้น
-หายใจออก โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ ค้างท่า นับ 1-10 แล้วหายใจตามปกติ ทำซ้ำ 3 ครั้ง
ท่านี้ ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณศีรษะ รากผม และใบหน้าเพิ่มขึ้นค่ะ
2. กินอาหาร
ควรงดอาหารประเภทนม เนย และผลิตภัณฑ์จากนมต่างๆ หลีกเลี่ยงน้ําตาล แป้งขัดขาว และอาหารไขมันสูง ควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็นและมีใยอาหารสูง แนะนําให้กินอาหารชีวจิตจะดีที่สุด เพราะช่วยลดท็อกซินในร่างกายและช่วยเสริมภูมิชีวิตทําให้หน้าตาผ่องใส ดูอ่อนกว่าวัย
3. ดื่มน้ํา
ควรดื่มน้ําให้เพียงพอ เพราะน้ําจะช่วยลดความร้อนและยังขับท็อกซินออกจากร่างกายได้ แม้ไม่ได้ช่วยรักษาสิวโดยตรง แต่ทําให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพแข็งแรงสู้กับสิวได้
4. การนอน
ไม่ควรนอนเกินสี่ทุ่ม เพราะจะกระทบถึงการทํางานของตับ ส่งผลต่อสภาพจิตใจและความเครียด
5. ทําดีท็อกซ์
การทําดีท็อกซ์จะช่วยขับท็อกซินออกจากลําไส้ใหญ่ เมื่อทําติดต่อกัน 14 วันจะช่วยลดสิวบนใบหน้าได้
6. กินวิตามินเสริม
เพื่อรักษาสิว อาจารย์สาทิสแนะให้กินวิตามินเอ ขนาด 10,000 ไอยู ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็น วิตามินบีคอมเพล็กซ์ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด เวลาเช้า วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด เวลาเย็น วิตามินอ ี 400 ไอยู สังกะสี 50-100 มิลลิกรัม และซีลีเนียม 100 ไมโคร กรัม อย่างละ 1 เม็ดทุกวัน และถ่านอัดเม็ด(Charcoal) ครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็น เฉพาะสองสัปดาห์แรกให้เพิ่มวิตามินเอและอี เป็นอย่างละ 2 เม็ด เมื่อครบสองสัปดาห์แล้วให้ลดลงเหลือวันละ 1 เม็ด
7. การล้างหน้า
ล้างหน้าด้วยน้ําเย็นเพียงวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทําให้หน้าแห้ง รูขุมขนจะขับน้ํามันออกมามากขึ้น และยังทําให้หน้าบางแบคทีเรียที่ดูแลผิวหน้าตามธรรมชาติก็จะหายไปด้วย ควรหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่ทําให้หน้าแห้งมาก โดยเลือกสบู่ล้างหน้าที่มีค่าพีเอชกลางๆ ส่วนครีมบํารุงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้น ไม่ควรใช้พวกไวเทนนิ่ ง เพราะจะทําให้มีการสะสมของสเตียรอยด์ หรือสารปรอททําให้สิวอักเสบ
ถ้าปฏิบัติครบสูตร รับรองสิวหาย หน้าใส แบบไม่ง้อหมอแน่นอน แต่หลักสําคัญคือ ต้องอดทนและมีวินัยมากๆ จึงจะประสบผลสําเร็จ เราเอาใจช่วยทุกคนอยู่นะ