กินยังไงไม่ให้เป็นโรคไต? อาหารแบบไหน เสี่ยงโรคไต มากที่สุด
เนื่องในโอกาสที่สมาคมโรคไตแห่งประเทศได้จัดงานวันไตโลก (World kidney day) ขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563 ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ตั้งแต่เวลา 10.00 -19.00 น. โดยในปีนี้ได้เน้นไปที่หัวข้อการป้องกันโรคไต ในคำขวัญที่ว่า “คัดกรอง ป้องกัน รู้ทัน โรคไต” จึงอยากจะมาแบ่งปันความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคไตที่เป็นภัยต่อสุขภาพของคนไทยในทุกเพศทุกวัยกัน ว่าอาหารแบบไหน เสี่ยงโรคไต มากที่สุด
ใครเสี่ยงเป็นโรคไตบ้าง?
คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยสูงอายุ ล้วนเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรังได้
พฤติกรรมแบบไหน เสี่ยงโรคไตมากที่สุด
“พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกินอยู่” นับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยมีความเสี่ยงเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นเราลองมาสำรวจตัวเองกันดูสักนิดว่า “เราได้เปิดประตูต้อนรับโรคไตเรื้อรังให้เข้ามาในชีวิตบ้างแล้วหรือยัง” โดยดูจากพฤติกรรมของตัวเราเอง ยกตัวอย่างเช่น ชอบกินอาหารรสจัดคำว่า “รสจัด” รวมความถึง เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด และมันจัด อาหารรสจัดทำให้ไตทำงานหนัก จึงมีส่วนทำให้เป็นโรคไตได้
จากข้อมูลของเครือข่ายลดบริโภคเค็มพบว่าปัจจุบันคนไทยกินเค็มมากกว่ามาตรฐาน 2 – 3 เท่า หรือประมาณ 4,000 มิลลิกรัม คนปกติไม่ควรกินโซเดียมเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมหรือคิดเป็นเกลือป่นประมาณ 5 กรัม (1 ช้อนชา)
- การกินอาหารนอกบ้าน เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อย่างเช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์
- การกินอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น เฟรนช์ฟรายส์
- อาหารปิ้งย่าง
- ของหมักดอง ซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินปกติ
- การดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือ ดื่มน้ำมากเกินไป เพราะไตทำหน้าที่กำจัดของเสียในร่างกาย และต้องใช้น้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองจนกระทั่งกลายเป็นปัสสาวะ แต่หากดื่มน้ำมากไตก็จะทำงานหนักเกิน
- การกินไม่ยั้งจนน้ำหนักเกิน
- ไม่ออกกำลังกาย ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูงตามมา
หากเราเป็นคนหนึ่งที่กำลังมีพฤติกรรมแบบนี้ โอกาสที่เราจะเปิดประตูต้อนรับโรคไตเรื้อรังเข้ามาในชีวิตนับว่ามี “สูง” เราจึงต้องเริ่มปรับพฤติกรรม และหาเวลาไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจคัดกรองโรคไต
ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจคัดกรองโรคไต ตรวจอะไรบ้าง?
การตรวจคัดกรองโรคไต เป็นการตรวจพื้นฐานได้แก่ การตรวจค่าการทำงานของไตจากการเจาะเลือด (blood urea nitrogen และ creatinine) หรือการตรวจปัสสาวะ (urinalysis) และปริมาณโปรตีนที่รั่วในปัสสาวะ (albuminuria) เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่แรกเริ่ม จะช่วยให้สามารถเริ่มใช้มาตรการชะลอการเสื่อมของไตได้เร็วขึ้น
สัญญาณเตือนว่าเราอาจเป็นโรคไต
ในทางการแพทย์มีอาการสำคัญบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคไต อาการเหล่านั้นได้แก่
- ปัสสาวะขัด หรือ ลำบาก
- ปัสสาวะกลางคืน
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- ปัสสาวะเป็นเลือด ขุ่น มีฟองหรือมีสีน้ำล้างเนื้อ
- อาการบวมที่รอบตาบวม หน้าหรือหลังเท้า
- ปวดเอว
- ความดันโลหิตสูง
หากมีอาการเหล่านี้แล้วท่านควรรีบไปพบอายุรแพทย์โรคไตโดยเร็วเพื่อการวินิจฉัยโรคและรักษาโรคไตตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ซึ่งถือว่าเป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิ (secondary prevention)
คนที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว ควรดูแลตัวเองยังไงดี?
สำหรับผู้อ่านที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคไตอยู่แล้ว ก็ควรทราบถึงวิธีที่จะชะลอความเสื่อมของไตแบบต่าง ๆ เช่น
- การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิด
- การควบคุมระดับน้ำตาลและกรดยูริกในเลือด
- การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำรวมไปถึงการควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เพื่อคงหน้าที่การทำงานของไตไว้ให้ได้นานที่สุด (การป้องกันระดับตติยภูมิ)
โรคไตเป็นภัยต่อสุขภาพของประชากรไทยที่เกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะในการดูแลสุขภาพกระทั่งกลายเป็นภัยเงียบที่คืบคลานเข้ามาจนไตเกิดความเสื่อมไปมากจึงเกิดอาการผิดปกติ เมื่อถึงเวลานั้นการป้องกันและการชะลอความเสื่อมของไต ก็มักถึงจุดที่ทำได้ยากแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้ท่านผู้อ่านนำความรู้จากบทความนี้ไปปฏิบัติ นอกจากจะช่วยให้ตนเองอยู่ห่างไกลโรคไตได้แล้ว ยังเป็นประโยชน์มากขึ้นหากนำไปเผยแพร่และแสดงเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจต่อคนรอบตัวช่วยให้ประชากรไทยเริ่มปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองอันจะนำไปสู่การมีสุขภาพไตที่ดีได้อย่างถ้วนหน้าในอนาคต
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก อ.พญ. ปิยวรรณ กิตติสกุลนาม อาจารย์แพทย์ด้านโรคไตภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขอขอบคุณภาพจาก Pinterest