4 วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
ปัจจุบันการรักษามุ่งเน้นไปที่การลดอาการปวด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ดังใจปรารถนา เช่น ไปเที่ยวหรือซื้อของตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้ การรักษาทำได้ดังนี้
1. ยา
1.1. ยาลดอาการปวด แต่ยากลุ่มนี้จะไม่ช่วยซ่อมแซมโครงสร้างของข้อ ควรใช้เพียงครั้งคราว เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
- ยาพาราเซตามอล ช่วยลดอาการปวดชนิดไม่รุนแรงได้ใช้แล้วไม่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และไม่มีผลต่อการทำงานของไต ไม่ควรกินเกินวันละ 4 กรัม
- ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบูโปรเฟน ยานาพรอกเซน ยาไดโคลฟีแนค ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและการอักเสบได้ดี แต่มีผลข้างเคียงมาก เช่น ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร มีผลต่อการทำงานของตับและไต ทำให้เลือดออกง่าย และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ดังนั้นควรใช้เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดมาก ๆ เท่านั้นและใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น
- ยาลดอาการปวดที่เป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีน ใช้เฉพาะในรายที่มีอาการปวดมากเท่านั้น ยาในกลุ่มนี้ทำให้ง่วง ซึมคลื่นไส้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการติดยาอีกด้วย การใช้ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น
1.2. ยานวดเฉพาะที่ เช่น ยานวดที่อยู่ในกลุ่มต้านการอักเสบ ยาที่สกัดจากพริกไทย เป็นต้น ช่วยลดอาการปวดเฉพาะที่ในระยะสั้น อาจจะทำให้มีอาการแสบร้อน หรือระคายเคืองผิวหนังได้
1.3. อาหารเสริมบำรุงข้อ เช่น กลูโคซามีน คอนดรอยติน เป็นต้น ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้กลูโคซามีนกับยาหลอก ซึ่งยังไม่สามารถสรุปผลการศึกษาได้ชัดเจน
บางการศึกษาบอกว่า กลูโคซามีนช่วยลดอาการปวดได้มากกว่ายาหลอก แต่บางการศึกษาพบว่า กลูโคซามีนและยาหลอกให้ผลต่อการลดอาการปวดไม่แตกต่างกัน แต่ไม่มีการศึกษาใดๆ เลยที่บอกว่า กลูโคซามีนสามารถชะลอการเสื่อมของข้อได้
1.4. น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม ถือเป็นการรักษาโรคข้อแนวใหม่ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงข้อเข่า การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม เข้าไปในข้อเข่าที่เสื่อมเพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและหล่อลื่นข้อเข่าให้เคลื่อนไหวดีขึ้น
คนไข้ชอบเรียกการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมว่า “การฉีดจาระบีเข้าข้อ” ซึ่งการรักษาวิธีนี้ช่วยชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าออกไปได้
น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมในเมืองไทยมีหลายชนิด ราคาค่อนข้างสูง เฉลี่ยราคาเข็มละ 3,000 - 5,000 บาท ฉีดสัปดาห์ละครั้งจำนวน 3 - 5 ครั้ง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการได้ประมาณ 6 - 12 เดือน
และถ้าผู้ป่วยให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่ เช่น บริหารกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อให้แข็งแรง ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพเข่าได้จึงเป็นการรักษาที่คุ้มค่ามาก เพราะช่วยให้อาการดีขึ้นจนไม่จำเป็นต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมอีก