ข้าวหมาก เคล็ด(ไม่)ลับ ของคนโบราณ กินแล้วผิวสวย แก่ช้า ลดอ้วน
ข้าวหมาก สุดยอดโพรไบโอติกส์ไทย กินเท่าไรก็สวย หุ่นดี แถมยังแก่ช้าอีกด้วย เพราะข้าวหมากเป็นแหล่งของจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotic) ที่ดีต่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางโภชนการอย่างมหาศาล
เราเห็นคุณตา คุณยาย กินข้าวหมากกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครกินกันแล้ว ทั้งที่เป็นอาหารสะท้อนภูมิปัญญาไทย ที่เราหลงลืมไป มันอาจจะดูเหมือนราวกับว่าเราโหยหากลับไปในอดีต แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ข้าวหมากมีคุณค่ามากกว่าการเป็นอาหารโบราณที่ควรอนุรักษ์ หรือคงไว้เฉพาะคนที่สัมผัสแค่เปลือกนอกของความเป็นไทยเท่านั้น
“คนสมัยก่อนกินอะไร ทำไมถึงไม่อ้วน แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย”” คำถามของ ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ย้อนมายังผู้เขียน
จากข้อสงสัยนี้เองอาจารย์ฉัตรภา จึงหันมาสนใจศึกษาภูมิปัญญาของไทยอย่าง “ข้าวหมาก” อย่างจริงจัง และพบว่าข้าวหมากของเรานั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญ ซึ่งเป็นแหล่งของจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotic) ที่ดีต่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางโภชนการอย่างมหาศาล
โพรไบโอติกส์ คืออะไร
มนุษย์มีการนำโบรไบโอติกส์มาใช้ในอาหารมาเป็นเวลานานมากกว่าหลายร้อยปีในหลายประเทศทั่วโลก บางชนิดอาจะเป็นที่คุ้นชิน แต่เราไม่ทราบว่ามันคือโพรไบโอติกส์ อย่างเช่น
- ในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ นัตโต (Natto) ถั่วเหลืองหมักด้วยเชื้อแบคทีเรีย และมิโซะ(Miso) ถั่วเหลืองหมักเกลือ
- ประเทศเกาหลี ได้แก่ กิมจิ (Kimchi) ผักดองเค็มหมักด้วยพริกสีแดง
- ประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ เทมเป้ (Tempe) ถั่วเหลืองหมักเป็นแท่งคล้ายเค้ก
- ประเทศแถบยุโรป ได้แก่ โยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว คีเฟอร์ (Kefir) เชื้อแบคทีเรียและยีสต์ที่ยึดเกาะกันเป็นกลุ่มใช้หมักนม ซาวเคราท์ (Sauerkraut) กะหล่ำปลีหมักเกลือของประเทศเยอรมนี
- ประเทศไทย ได้แก่ ปลาร้า ผักดอง และข้าวหมาก ที่เป็นไฮไลท์ในปักษ์นี้
อาจารย์ฉัตรภา ได้อธิบายความหมายของโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ว่าเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่แต่เดิมแล้ว ให้มีแบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น และแบคทีเรียที่ไม่ดีจำนวนลดลง (คือพวกที่ทำให้ท้องอืด ท้องเสีย) ส่งผลทำให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามเชื้อจุลินทรีย์จะสามารถเจริญเติบโตได้ดีนั้นก็จำเป็นต้องมี โพรไบโอติกส์ (Prebiotics) ซึ่งเป็นอาหารสำหรับเชื้อจุลินทรีย์โปรไบโอติกส์ เช่น ธัชพืชต่างๆ ถัวเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย กระเทียม เป็นต้น
2 ยุคสมัยของข้าวหมาก
1st ยุคคุณตา
“ข้าวหมากเป็นอาหารไทยแต่โบราณ เป็นกรรมวิธีการถนอมอาหารเพื่อยึดอายุการเก็บข้าวให้ได้นานยิ่งขึ้น เนื่องจากในการหูงข้าวในแต่ละครั้งแล้วกินไม่หมด ” อาจารย์ฉัตรภากล่าว
ข้าวหมากจะมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นผลผลิตจากกระบวนการหมักของจุลินทรีย์ หากพิจารณาถึงรสแล้วรสหวาน จะซึบซาบไปทั่วเนื้อของร่างกาย เป็นการบำรุงร่างกายในส่วนของธาตุดิน(มังสัง)ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และเพิ่มพลังงานขับเคลื่อนของร่างกาย และรสเปรี้ยว เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยระบบการย่อยอาหารไห้ดีขึ้น ขับเสมหะ บำรุงธาตุให้ความสมดุลของร่างกาย
ในระหว่างสนทนา อาจารย์ฉัตรภาก็ได้นึกถึงคุณตากับคุณยาย ของท่านที่ชอบกินข้าวหมากเป็นประจำ ไม่ว่าวันใดที่คุณตารู้สึกท้องไส้ไม่ดี ก็จะให้คุณยายออกไปหาซื้อข้าวหมากมาให้กินเป็นประจำ
จากคำบอกเล่าของคุณตา “ข้าวหมากสามารถกินได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่” กล่าวคือ
- เด็กที่มีร่างกายผอม กะร่องกะแร่ง เมื่อทานข้าวหมากจะทำให้เด็กแข็งแรงและเจริญเติบโตสมวัย
- หญิงสาวที่ชอบกินข้าวหมาก จะทำให้หุ่นดี ผิวพรรรณสวยงาม มีน้ำมีนวล มีเลือดฝาด
- หญิงมีครรภ์ จะทำให้กินอาหารได้รสชาติที่อร่อยมากขึ้น และลดอาการแพ้ท้องได้เนื่องจากความเปรี้ยวนิดๆของข้าวหมาก
- ผู้สูงอายุ ที่กินข้าวหมากเป็นประจำจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บปวยได้ง่าย
- คนที่มีปัญหาระบบขับถ่ายไม่ดี การกินข้าวหมากก็จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ปรับเข้าสู่สมดุลของระบบขับถ่ายได้
- สุดท้ายการกินข้าวหมากหลังอาหารมื้อหลักช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น ลดอาการท้องอืด อึดอัดท้อง
2ed ยุคคุณหลาน
ความชาญฉลาดของคนโบราณ บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกทึ่ง และเกิดคำถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร หากนำวิธีคิดในแบบชาวบ้านมาอธิบายแง่ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ร่วมสมัยในสังคม
อาจารย์ฉัตรภา ได้นำประโยชน์จากการบอกเล่าของคุณตา มาเทียบเคียงกับคุณค่าทางโภชนาการของข้าวหมาก พบว่ามีจริงอยู่ตามคำบอกเล่า โดยสรุปได้ดังต่อไปนี้
- ข้าวหมากจะประกอบไปด้วยสารอาหารกลุ่มของวิตามินบี ช่วยในเรื่องบำรุงประสาท ทำให้มีระบบความจำที่ดีขึ้น ลดอาการความจำเสื่อมได้
- เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย หรือภูมิชีวิต ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นหวัดได้ง่าย
- ทำให้ระบบย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากมีจุลินทรีย์เข้าไปช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย
- ระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และแก้อาการท้องเสีย จุลินทรีย์จะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณกากใยของอาหารมากขึ้น
- ช่วยในการควบคุมระบบไขมัน เพิ่มการดูดกลับไขมันออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีภาวะไขมันในเลือดสูง
- ใช้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่แพ้นมไม่สามารถดื่มนมได้ ก็สามารถกินข้าวหมากแทนได้เหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตามการกินข้าวหมากนั้นก็มีควรระวังเหมือนกัน หากกินเป็นก็จะถือว่าเป็นยา แต่ถ้า กินไม่เป็นหรือเยอะเกินไป ก็จะทำให้เกิดโทษได้ โดยมีวิธีการกินดังต่อไปนี้
- ควรกินในปริมาณ 1 ฝ่ามือ หรือปริมาณ ½ ถ้วย หรือ1-2 ห่อ ต่อวัน
- ไม่ควรกินเยอะจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้มีอาการมึนเมา และอาการท้องเสียได้
- ไม่แนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำตาลในโลหิตสูง หรือเบาหวาน เพราะจะมีผลต่อปริมาณของน้ำตาลในโลหิตได้
สำหรับผู้ที่ไม่ชื่นชอบในรสชาติ และกลิ่นของข้าวหมาก สามารถนำข้าวหมากมาเป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลายชนิด เช่น ใส่ในน้ำพริก ใส่ในเครื่องต้มยำ หรือทำเป็นยำ นอกจากนี้ก็ยังสามารถนำมากินเป็นของหวานได้เหมือนกัน เช่น กินคู่กับไอศครีม โยเกิร์ต ใส่ในน้ำแข็งใส แค่นี้เราก็สามารถกินข้าวหมากได้หลายรูปแบบ ดร.ฉัตรภากล่าว
บทความน่าสนใจอื่นๆ
ยาธาตุอบเชย กินแก้ท้องอืด หายได้ภายในเร็ววัน