หัวใจพิการแต่กำเนิด เมื่อชีวิตไม่ได้มีทางเลือกมากนัก
หัวใจพิการแต่กำเนิด ตามคำอธิบายของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า เกิดจากความผิดปกติของขั้นตอนการสร้างหัวใจตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พบโรคนี้ในทารกแรกเกิดมีชีวิตถึง 8 ใน 1,000 คน ในจำนวนนี้ ร้อยละ 50 ไม่มีอาการ ที่เหลือมีอาการเขียว หรือ หัวใจวายร่วมด้วยอย่างละเท่าๆกัน ที่ อาจเสียชีวิตก่อนเกิด บางรายเริ่มมีอาการ หรือ ตรวจพบตั้งแต่แรกเกิด หรือ ตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติในสัปดาห์แรก บางรายตรวจพบเมื่ออกจากโรงพยาบาลหลังคลอด หรือ มีอาการหลังอายุ 1-2 เดือน หรือหลังจากนั้น
วันนี้เรามีประสบการณ์จากคุณศิริรัตน์ ภู่จุฬา แม่ของ น้องอันปัน -เด็กชายรัชพล ภู่จุฬา อายุ5 ขวบ ซึ่งเธอได้แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอาการป่วยของลูกชายเอาไว้
หลังคลอด ก็พบความผิดปกติ
“น้องอันปันคลอดออกมาปกติค่ะ แต่ในช่วง 2 – 3 เดือนหลังคลอดน้องไม่สบายบ่อยมาก อาการที่สังเกตเห็นคือ น้องหายใจเหนื่อยหอบและไม่สามารถนอนราบได้ หลังจากตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอสันนิษฐานว่าน้องมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง และควรรับการตรวจโดยละเอียด
“ตอนแรกฉันยังไม่เชื่อ แต่ได้รับการยืนยันจากคุณหมอว่าน้องอันปันเป็นโรคหัวใจรั่ว พร้อมกำชับว่าให้แม่รีบดำเนินการรักษาโดยเร็ว จึงรีบพาลูกไปตรวจอย่างละเอียดที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยคุณหมอได้ตรวจหัวใจด้วยเครื่องที่มีคลื่นเสียงความถี่สูง แต่น้องอันปันยังเล็กไม่สามารถอยู่นิ่งได้นานพอ จึงต้องเลื่อนการตรวจออกไป โดยรอให้น้องอายุครบ 10 เดือนก่อน”
ระหว่างรอ คุณศิริรัตน์เล่าว่า หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อถึงวันนัดจึงพบว่าความกังวลของเธอเป็นจริงคือ หัวใจน้องโตผิดปกติและมีรูรั่วขนาด 10 มิลลิเมตรที่หัวใจห้องล่าง อีกทั้งมีเนื้องอกมาปิดกั้นหัวใจห้องบน ซึ่งเป็นลักษณะของโรคหัวใจชนิดผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว (Ventricular Septal Defect : VSD)
โดยในกรณีของน้องอันปัน คุณหมอให้ข้อมูลว่า อาการลักษณะนี้ หากทิ้งไว้จนโตจะยิ่งรักษาให้หายได้ยาก ที่สำคัญ ยิ่งปล่อยไว้ รูรั่วจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นจนหัวใจน้องทำงานหนักมากและเสี่ยงต่อชีวิต
ยอมรับความเสี่ยง
เนื่องจากการผ่าตัดหัวใจในเด็กมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยระหว่างการผ่าตัด จึงมีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานน้ำหนักตัวของเด็กที่จะเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ โดยควรมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 10 กิโลกรัม คุณหมอจึงให้กลับบ้านเพื่อดูแลสุขภาพน้องให้พร้อมผ่าตัด ซึ่งใช้เวลานานเกือบปี โดยระหว่างนั้นมีการนัดตรวจสุขภาพทุกๆ 2 – 3 เดือน
แต่ในกรณีของน้องอันปัน ตรวจพบค่าเม็ดเลือดขาวสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดจนต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปถึง 3 ครั้ง ถึงอย่างนั้นในครั้งถัดมา การผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดี แต่วิกฤติจริงๆที่ทั้งแม่และลูกต้องเผชิญอีกระลอก คือ การดูแลสุขภาพน้องช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด
“คุณหมอกำหนดให้น้องพักฟื้นประมาณ 10 วัน และระหว่างนี้ต้องดูแลไม่ให้หัวใจเต้นเร็วจนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย แต่เพราะลูกยังเล็ก ดังนั้นหลังจากสลบเพราะฤทธิ์ยาไป 4 วันแล้วตื่นมาเห็นหน้าแม่ น้องอันปันก็เริ่มร้องไห้หนัก พยาบาลเลยให้ฉันรีบออกจากห้องมาโดยยังไม่ได้แม้แต่สัมผัสตัวลูก จึงได้แต่ยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องไอซียู
“กว่าจะได้กอดลูกก็วันที่ 7 ค่ะ ฉันเสี่ยงเข้าไปพบลูกเพราะทนต่อไปไม่ไหว เมื่อลูกตื่นมาพบหน้าก็รีบปลอบลูกว่าอย่าร้องไห้นะลูก ถ้าหนูร้องไห้ แม่ก็จะอยู่กับหนูไม่ได้นะเหมือนน้องอันปันจะรู้ เขาค่อยๆปรับตัว จากที่เคยร้องไห้มากก็ร้องน้อยลง และไม่ร้องไห้ในที่สุด”
เข้าสู่การพักฟื้น
จากนั้นอาการน้องอันปันก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ และกลับมาพักฟื้นที่บ้านโดยปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด จนทุกวันนี้น้องอันปันมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กทั่วไป โดยยังมีนัดเอกซเรย์ปีละ 1 ครั้ง
เรื่องราวของน้องอันปันเป็นอุทาหรณ์ที่ดีในการสังเกตอาการของลูกน้อยช่วงแรกเกิดถึง 1 ปี โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความผิดปกติแต่กำเนิดอีกไม่น้อยที่เพิ่งมาแสดงอาการตอนโต
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
โรคหัวใจ ออกกำลังกายได้หรือไม่
4 อาการ เสี่ยงโรคหัวใจ ภัยใกล้ตัวคนทำงาน
ดูแล “โรคหัวใจ” ออกกำลังกายแต่พอดี