ดื่มน้ำแร่ อย่างไร ได้ประโยชน์ดีที่สุด

ดื่มน้ำแร่ ไม่ได้เป็นแค่การดับกระหาย แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมให้มื้ออาหารของคุณทั้งมีประโยชน์และอร่อยยิ่งขึ้น แร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำแร่สามารถทำปฏิกิริยากับรสชาติอาหาร ช่วยเพิ่มอรรถรส และยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

ทำไมดื่มน้ำแร่ดีต่อร่างกาย

น้ำแร่ (Mineral Water) คือน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ได้รับการกรองผ่านชั้นหินและดินเป็นเวลานับร้อยนับพันปี จึงละลายแร่ธาตุต่างๆ มาด้วย ทำให้ได้น้ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฯลฯ และส่วนใหญ่มาจากแหล่งน้ำใต้ดินที่สะอาด ปลอดภัย และได้รับการคุ้มครอง

ความพิเศษของน้ำแร่อยู่ที่กระบวนการดูแลคุณภาพที่เข้มงวด ตั้งแต่ต้นทางของแหล่งน้ำ การตรวจสอบองค์ประกอบของแร่ธาตุ ความสะอาด และเสถียรภาพของแหล่งน้ำ ไปจนถึงกระบวนการบรรจุ ซึ่งต้องทำภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อและปราศจากการปนเปื้อนโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญคือน้ำแร่จะม่ผ่านการปรับปรุงทางเคมี หรือการเติมแร่ธาตุเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งสิ้น

ตามเกณฑ์มาตรฐานสากล น้ำแร่ต้องมีปริมาณแร่ธาตุที่ละลายอยู่ (Total Dissolved Solids หรือ TDS) อยู่ในช่วง 250-1,000 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือเป็นระดับที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภคอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ดื่มน้ำแร่

แหล่งกำเนิดของน้ำแร่ ให้ประโยชน์ต่างกัน

ในทุกหยดของ “น้ำแร่ธรรมชาติ” ซ่อนเรื่องราวของการเดินทางอันยาวนาน ผ่านชั้นดิน หิน และแร่ธาตุหลากชนิด เป็นเวลาหลายสิบปีหรือมากกว่านั้น ก่อนจะกลายมาเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ เปรียบเหมือนของขวัญจากธรรมชาติโดยจำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลักตามแหล่งกำเนิด ดังนี้

1. น้ำแร่ธรรมชาติ (Mineral Water)

น้ำที่ไหลมาจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ลำธารบนภูเขา หรือแหล่งน้ำที่สะสมจากหิมะและฝน ซึ่งเมื่อไหลผ่านชั้นหินและดินตามธรรมชาติ ก็จะละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ติดมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม หรือโซเดียม ซึ่งบางชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

2. น้ำจากบาดาลลึก (Artesian Well Water)

น้ำที่ไหลผ่านชั้นแร่ใต้พื้นดิน และถูกกักเก็บในร่องน้ำใต้ดินที่มีแรงดันตามธรรมชาติ เมื่อน้ำสัมผัสกับชั้นแร่ต่าง ๆ เป็นเวลานาน จึงสะสมแร่ธาตุไว้มาก ก่อนจะถูกสูบขึ้นมาเพื่อบริโภค น้ำจากบ่อบาดาลลึกมักมีความบริสุทธิ์สูง และมีความคงที่ของแร่ธาตุในแต่ละปี ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตน้ำดื่มคุณภาพ

3. น้ำผุดธรรมชาติ (Spring Water)

น้ำดื่มที่มาจากแหล่งใต้ดินที่ไหลขึ้นมาสู่พื้นผิวโลกตามธรรมชาติ โดยไม่ผ่านการปั๊มหรือดูดขึ้นมาด้วยวิธีทางกลไกใดๆ น้ำประเภทนี้มักถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินหรือแหล่งน้ำบาดาลใต้ดิน และจะถูกกรองตามธรรมชาติเมื่อไหลผ่านชั้นดินและหินต่างๆ ก่อนจะผุดขึ้นมาสู่ผิวดิน โดยมากพบในบริเวณภูเขาหรือพื้นที่ภูเขาไฟ ซึ่งอาจมีอุณหภูมิสูงจากพลังงานใต้พื้นดิน ทำให้ได้รับแร่ธาตุเฉพาะตัวจากหินภูเขาไฟ เช่น ซิลิกา หรือซัลเฟต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการฟื้นฟูร่างกายและบำรุงผิวพรรณ จึงนิยมนำมาใช้ในสปาและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ดื่มน้ำแร่ยังไงได้ประโยชน์ที่สุด

1. เลือกน้ำแร่ให้เข้ากับประเภทอาหาร

เหมือนกับการเลือกไวน์ให้เข้าคู่กับอาหาร น้ำแร่ก็มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันไปตามองค์ประกอบของแร่ธาตุ การเลือก ดื่มน้ำแร่ ที่เหมาะสมจะช่วยดึงรสชาติของอาหารออกมาได้ดียิ่งขึ้น:

  • น้ำแร่รสอ่อน/มีปริมาณแร่ธาตุต่ำ (Low Mineral Content/Light) น้ำแร่ประเภทนี้มักมีรสชาติกลางๆ ไม่โดดเด่น เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหารที่มีรสชาติไม่จัดมาก เช่น
    • อาหารทะเล: ช่วยคงรสชาติหวาน สดของอาหารทะเลได้อย่างเต็มที่
    • อาหารคลีน/อาหารสุขภาพ: ไม่รบกวนรสชาติวัตถุดิบธรรมชาติ
    • อาหารญี่ปุ่น: เช่น ซูชิ ซาชิมิ ช่วยล้างเพดานปากและเตรียมพร้อมสำหรับคำถัดไป
  • น้ำแร่รสเข้ม/มีปริมาณแร่ธาตุสูง (High Mineral Content/Robust) น้ำแร่ประเภทนี้จะมีรสชาติเฉพาะตัวที่ชัดเจนกว่า บางครั้งอาจมีรสเค็มเล็กน้อยจากโซเดียม หรือมีรสฝาดจากแร่ธาตุอื่นๆ
    • อาหารรสจัด/เผ็ด: เช่น อาหารไทยรสจัด ช่วยลดความเผ็ดร้อน และเสริมมิติรสชาติ
    • เนื้อสัตว์ย่าง/สเต๊ก: รสชาติของน้ำแร่ที่เข้มข้นจะช่วยเสริมรสอูมามิของเนื้อได้ดี
    • อาหารที่มีไขมันสูง: ช่วยตัดเลี่ยน
  • น้ำแร่มีฟองธรรมชาตื (Sparkling Mineral Water): ฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำแร่ช่วยทำความสะอาดเพดานปาก และให้ความรู้สึกสดชื่น
    • อาหารที่มีรสเข้มข้น/มัน: เช่น ชีส พิซซ่า อาหารอิตาเลียน ช่วยตัดเลี่ยนและเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
    • อาหารทอด: ฟองจะช่วยลดความมันในปากได้ดี
ดื่มน้ำแร่

2. ดื่มน้ำแร่ก่อนมื้ออาหารเพื่อเตรียมระบบย่อย

การดื่มน้ำแร่ 1 แก้ว (ประมาณ 100-250 มล.) ก่อนเริ่มมื้ออาหารประมาณ 15-30 นาที สามารถช่วยเตรียมความพร้อมของระบบย่อยอาหารได้ โดยเฉพาะน้ำแร่ที่มีส่วนประกอบของไบคาร์บอเนต หรือค่าความเป็นด่าง (pH สูงกว่า 7) จะช่วยกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารในระดับที่เหมาะสม และกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลให้ร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น โดยไม่รบกวนระบบย่อยในช่วงเวลารับประทานอาหาร

3. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำแร่ปริมาณมากทันทีหลังอาหาร

แม้ว่าน้ำแร่จะช่วยย่อย แต่การดื่มปริมาณมากทันทีหลังอาหารอาจทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากเกินไป และอาจเจือจางน้ำย่อย ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยลดลง ควรจิบเป็นระยะๆ หรือรอสักครู่หลังอาหารหากต้องการดื่มปริมาณมาก

เทคนิคเลือกน้ำแร่ให้ปลอดภัยได้คุณภาพ

1. ตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทาง น้ำแร่ที่ดีควรมาจากแหล่งธรรมชาติแท้ เช่น น้ำพุภูเขาไฟ หรือน้ำใต้ดินที่สะอาดลึกจากผิวโลก โดยมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานด้านสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นน้ำแร่ “Iceland Spring” เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำแร่คุณภาพสูง เพราะมาจากธรรมชาติแท้ 100% เกิดจากฝนและหิมะที่ตกในประเทศไอซ์แลนด์ ใช้เวลาถึง 40 ปี ในการกรองผ่านชั้นหิน “บาซัลติก ลาวา ร็อค” ก่อนจะผุดขึ้นมาด้วยอุณหภูมิที่ควบคุมด้วยความร้อนใต้ดิน ทำให้ได้น้ำที่มี ค่า pH 8.88 โดยธรรมชาติ

2. อ่านฉลากให้ละเอียด มองหาฉลากที่ระบุแร่ธาตุอย่างชัดเจน เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ไบคาร์บอเนต ฯลฯ พร้อมปริมาณและเลข อย. หรือมาตรฐานความปลอดภัยอื่นๆ

3.หลีกเลี่ยงน้ำแร่ที่มีโซเดียมสูงเกินไป น้ำแร่บางชนิดมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตหรือโรคไต แนะนำให้เลือกน้ำแร่ที่ระบุว่า “Low Sodium” หรือมีโซเดียมไม่เกิน 20 มก. ต่อ 100 มล.

4.สังเกตบรรจุภัณฑ์และเช็กวันผลิต-หมดอายุ เลือกขวดที่ผลิตจากวัสดุปลอดสาร BPA (BPA-free) และไม่มีรอยบุบ แตก หรือเปื้อน ฉลากไม่ลอกง่าย เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ดีมีผลต่อคุณภาพของน้ำโดยตรง  นอกจากนี้แม้น้ำจะดูเหมือนไม่มีวันหมดอายุ แต่หากเก็บในขวดพลาสติกนานเกินไป แร่ธาตุบางชนิดอาจเสื่อมคุณภาพ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตใหม่และเก็บในที่เย็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เลือดแห้ง สมองเสื่อม ภัยของการ ดื่มน้ำน้อย 

ออกตามหา นมจากพืช ตัวเลือกดีๆ ทดแทนน้ำนมจากวัว

ติดตามชีวจิตได้ที่
Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสารชีวจิต

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.