อาหารของคนธาตุไฟ “ยำสะเดากับเห็ดพันสาหร่ายทอด”
เตโชธาตุ เรื่องของไฟในกาย
ฉบับนี้จะขอกล่าวถึงธาตุสุดท้าย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย กระบวนการเผาผลาญ และปฏิกิริยาทางเคมีต่างๆ ตลอดจนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นั่นก็คือ “ธาตุไฟ” หรือ “เตโชธาตุ” นั่นเอง
เรื่องทั่วไปของธาตุไฟ ธาตุไฟคือองค์ความร้อนในสิ่งมีชีวิต มีคุณสมบัติเผาผลาญให้แหลกสลาย ไฟทำให้ธาตุลมและธาตุน้ำในร่างกายเคลื่อนที่ด้วยพลังแห่งความร้อนอันพอเหมาะ ทั้งยังช่วยให้ธาตุดินอุ่น เพื่อช่วยให้อวัยวะต่างๆไม่เน่า ตามทฤษฎีแพทย์แผนไทย จำแนกธาตุไฟในกายไว้4 กอง ได้แก่
สันตัปปัคคี หรือไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งเชื่อมโยงกับกระบวนการควบคุม อุณหภูมิในร่างกายโดยต่อมไฮโปทาลามัส
ปริทัยหัคคี หรือไฟทำให้ร้อนระส่ำระสาย ทำหน้าที่ระบายความร้อนส่วนเกิน เช่น การขยายตัวของรูขุมขนเพื่อขับเหงื่อ ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานของต่อม ไฮโปทาลามัสเช่นกัน
ชิรนัคคี หรือไฟสำหรับเผาให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรม ไฟชนิดนี้เกี่ยวข้องกับ ระบบฮอร์โมน สารเคมี และปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้เซลล์มีคุณภาพดีหรือเสื่อมไป เช่น โกร๊ธฮอร์โมน สารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารฮีสตามีน ปริณามัคคี หรือไฟสำหรับย่อยอาหาร ได้แก่ เอนไซม์ต่างๆ ที่ใช้ย่อยอาหาร รวมถึงกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย
ธาตุไฟทั้ง 4 กองนี้จะถูกควบคุมด้วยกระบวนการทำงานของธาตุไฟ 3 ระบบ (กองสมุฏฐาน) ซึ่งจะกล่าวถึงในฉบับถัดไป
หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า ธาตุไฟนั้นเป็นระบบการทำงานของร่างกาย ในระดับตั้งต้นในทุกๆกระบวนการ หากธาตุไฟเสียสมดุลย่อมกระทบกับระบบ ต่างๆ ดังที่กล่าวมา อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อธาตุอื่นๆได้ เช่น หากธาตุไฟมีมากไป จะทำให้ธาตุลมสลายไป ไม ่อาจพัดพาธาตุน้ำให้ไหลเวียนไปเลี้ยงธาตุดินได้ เป็นต้น เหตุนี้เราจึงควรดูแลธาตุไฟให้เป็นปกติเสมอ เพื่อให้ระบบอื่นๆ สามารถ ทำงานได้อย่างปกติ และยังช่วยให้อายุยืนยาวอีกด้วย
รู้จักกับธาตุเจ้าเรือนไฟ
ลักษณะคนธาตุไฟ : มักเป็นคนร้อนง่าย ทนร้อน ไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน หนังย่น ผม ขน หนวดอ่อนนิ่ม ข้อกระดูกหลวม มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ความต้องการทางเพศปานกลาง
จุดอ่อนของสุขภาพ : ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟ ในช่วงอายุ16-32 ปี มักจะหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสีย บ่อย เป็นคนเจ้าอารมณ์ ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยง่าย และเป็นไข้ตัวร้อน เพราะธาตุไฟกำเริบ
รสอาหารที่ควรกิน : รสขม (เพื่อช่วยบำรุงน้ำดี ทำให้ การย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยแก้ไข้ได้) รสเย็น (ผัก ที่มีฤทธิ์เย็นช่วยให้ธาตุไฟในร่างกายไม่ลุกโชนจนเกินไป และรักษาอุณหภูมิในกายให้เป็นปกติ) รสจืด (ช่วยขับ ปัสสาวะ จึงลดระดับความร้อนในกายและแก้ไข้ตัวร้อน ได้ อีกทั้งผักรสจืดยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วย ป้องกันเซลล์เสื่อมสภาพได้)
ผักและผลไม้ที่แนะนำ : ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด ผัก กระสัง สายบัว ผักกาดจีน ผักกาดนา ผักกาดนกเขา มะระ ผักปลัง มะรุม มะเขือยาว ผักหนาม ยอด มันเทศ กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง หยวก- กล้วย ใบหม่อน มะเขือขาว กุยช่าย มันแกว พุทรา แอ๊ปเปิ้ล
เมนูอาหารที่แนะนำ : ยำสะเดา ผัดผักปลัง มะระยัดไส้นึ่ง แกงจืดต่างๆ แกงส้ม สลัดผักสดต่างๆ น้ำแตงโม น้ำใบบัวบก น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย
เพื่่อช่วยบำรุงธาตุไฟให้สมดุลจึงขอนำเสนอ เมนูยำสะเดากับเห็ดพันสาหร่ายทอด ที่ช่วยป้องกันหวัด ทั้งยังช่วยบำรุงน้ำดีและทำให้เจริญอาหารไว้ให้คุณรับประทาน เพื่อปรับสมดุลธาตุไฟในกาย

ยำสะเดากับเห็ดพันสาหร่ายทอด อาหารของคนธาตุไฟ
ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) เตรียม 20 นาที ปรุง 30 นาที
ดอกสะเดามันลวก บีบน้ำจนหมาด 1 1/2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้า 7 ดอก
สาหร่ายแผ่นสำหรับห่อข้าว 1 แผ่นใหญ่
แป้งทอดกรอบ 1/2 ถ้วยผสมน้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วย
น้ำมันสำหรับทอดเห็ด 2 ถ้วย
หอมเจียวตามชอบ
กระเทียมเจียวตามชอบ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดตามชอบ
พริกชี้ฟ้าทอดตามชอบ
ส่วนผสมน้ำยำ
น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่ส่วนผสมน้ำยำรวมกันในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวด้วยไฟกลางจนละลาย เข้ากันและข้นเป็นยางมะตูม ปิดไฟ พักไว้
2. ตัดแผ่นสาหร่ายเป็นเส้นยาวโดยให้มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว ทั้งหมด 7 เส้น แล้วนำไปพันก้านเห็ดให้รอบ ใช้น้ำแตะส ่วนปลายแผ่นสาหร่ายเพื่อติดปลายให้เรียบร้อย ทำอย่างนี้จนหมดดอกเห็ด แล้วนำไปชุบแป้งที่ผสมไว้ คลุกเกล็ดขนมปัง แล้วนำไปทอดจนสุกกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
3. ใส่สะเดาลงในชามผสม ราดน้ำยำลงไป คนให้เข้ากัน จึงใส่หอมเจียว กระเทียมเจียว และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดลงเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยพริกทอด เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยและเห็ดทอด
TIPS
- ดอกสะเดาลวกที่นำมายำควรบีบน้ำให้หมาด เพื่อไม่ให้มีน้ำส่วนเกิน ที่จะทำให้น้ำยำเหลว เจือจาง และไม่อร่อย
- ดอกสะเดามันคือดอกสะเดาที่มีรสไม่ขมจัด เวลาเคี้ยวจะมันอร่อย มีวิธีเลือกโดยสังเกตจากลักษณะดอกที ่จะอัดกันแน ่นเป็นกระจุก เต็มก้านดอกและช่อดอกไม่ยาวนัก ต่างจากดอกสะเดาขมที่ก้านดอก จะยาวกว่าและมักติดดอกห่างๆกันตามก้านดอก