โอปปาติกะ คืออะไร ทำไมบางคนจึงเห็นทำไมบางคนจึงไม่เห็น
โอปปาติกะ คืออะไร และมีกี่ประเภท ทำไมบางคนจึงเห็นและทำไมบางคนจึงไม่เห็น เหตุผลที่โอปปาติกะจะปรากฏตัวและไม่ปรากฏตัว มีดังนี้
โอปปาติกะคืออะไร มีกี่ประเภท
จากในพระไตรปิฎก โอปปาติกะ เป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งที่พอเกิดแล้วโตทันที ไม่ต้องอยู่ในครรภ์ เช่น มนุษย์หรือสัตว์บางประเภท หรืออยู่ในไข่ เช่น เป็ด ไก่ หรืออยู่ในสิ่งสกปรกต่างๆ เช่น หนอน สิ่งมีชีวิตเช่นนี้มีลักษณะเป็นกายทิพย์ ปกติแล้วจะมองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ เทวดา สัตว์นรก มนุษย์บางจำพวก และเปรต
เทวดา
เทวดา คือโอปปาติกะ ที่อยู่ในภพที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์ เรียกว่า สุคติ หรือก็คือ ฝ่ายบุญ ซึ่งน่าจะรวมถึงรูปพรหมและอรูปพรหมด้วย โดยทั่วไป เทวดาก็คืออดีตมนุษย์ที่ทำความดีมามากกว่าความชั่ว เน้นไปที่ด้านให้ทานและรักษาศีลอยู่เป็นประจำ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญจึงดึงดูดให้ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต่างๆ ตามแต่กำลังบุญของตน
รูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่บำเพ็ญความดีทั้งทาน ศีล และภาวนาเป็นประจำ สามารถเข้าถึงสมาธิในระดับฌาน ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน เมื่อสิ้นชีวิตแล้วกำลังบุญมากพอที่จะดึงดูดให้ไปเกิดเป็นรูปพรหม
อรูปพรหม ได้แก่ อดีตมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลจนกระทั่งเลยระดับฌานทั้ง 4 จนกระทั่งเข้าถึงระดับสูงขึ้นไปอีก 4 ระดับ
สัตว์นรก
สัตว์นรก ได้แก่ โอปปาติกะที่อยู่ในสถานที่ที่มีความทุกข์ เรียกกันว่า ฝ่ายทุคติ หรือฝ่ายบาป โดยสัตว์นรกแบ่งเป็น 8 ระดับ
มีคำอธิบายในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่า สัตว์นรก เป็นโอปปาติกะในแต่ละจกฺกวาฬ ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า จักรวาล ซึ่งจากการวิเคราะห์โดย ผศ.ดร.สรกานต์ ศรีตองอ่อน ผู้เขียนหนังสือ พุทธจักรวาล อิทธิฤทธิ์มีจริง ผีมีจริง? ชีวิตซ้อนมิติ จักรวาลนี้ก็คือกาแล็กซีในความหมายทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
ยังมีสัตว์นรกอีกประเภทหนึ่งที่อยู่นอกแต่ละกาแล็กซี โดยอยู่ระหว่าง 3 กาแล็กซีที่อยู่ใกล้กัน เรียกสัตว์นรกประเภทนี้ว่า โลกันตะ ซึ่งมีความทุกข์ที่สุดในบรรดาสัตว์นรกทั้งหมด
มนุษย์บางจำพวก
ตามปกติมนุษย์จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดในครรภ์ มิใช่โอปปาติกะที่เป็นกายทิพย์ แบบเกิดแล้วโตทันที แต่มนุษย์แบบโอปปาติกะนี้ คือ มนุษย์ในช่วงแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในแต่ละวัฏจักร เมื่อเอกภพเกิดขึ้นใหม่ๆ จะไม่มีมนุษย์อาศัย และตอนเริ่มต้นจะร้อนจัด ต่อมาจะค่อยๆเย็นลง แล้วสสารก็รวมตัวกันเป็นกาแล็กซี เป็นดาวเคราะห์ เช่น โลก ซึ่งในโลกจะมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่า ง้วนดิน ซึ่งมีกลิ่นหอมมากและฟุ้งกระจายไปไกลจนถึงสถานที่อยู่ของรูปพรหม จนกระทั่งรูปพรหมบางท่านทนไม่ไหว ต้องลงมาดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร
รูปพรหมบางท่านที่ลงมายังโลกนี้ได้ทดลองชิมง้วนดินนั้น ทำให้เกิดความหยาบในกายทิพย์ของตน จนเกิดการเปลี่ยนสภาพจากรูปพรหมมาเป็นมนุษย์ทันที ซึ่งมนุษย์ประเภทนี้เองที่มีสภาพกำเนิดแบบโอปปาติกะ
เปรต
โอปปาติกะที่จัดอยู่ในฝ่ายทุคติ แต่ยังมีบาปไม่มากพอที่จะเป็นสัตว์นรก จึงอาศัยอยู่เป็นกายทิพย์ที่ปะปนบนโลกมนุษย์ บางครั้งก็ปรากฏร่างกึ่งหยาบกึ่งละเอียดให้มนุษย์มองเห็นได้ เพื่อมาขอส่วนบุญจากมนุษย์
อสุรกาย
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พระอรรถกถาจารย์ (พระผู้แต่งคัมภีร์อรรถกถาเพื่อขยายความในพระไตรปิฎก) ได้อธิบายไว้ว่า อสุรกายจัดอยู่ในกลุ่มของเปรตนั่นเอง กล่าวคือ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข แต่ไม่ถึงกับตกนรก โดยอสุรกายจะมีสถานที่อยู่ใต้เขาสิเนรุ หรือจากการวิเคราะห์โดยผู้เขียนคือ อยู่ใต้ศูนย์กลางของแต่ละกาแล็กซีนั่นเอง
ส่วนเหตุผลที่บางคนเห็น และบางคนไม่เห็นโอปปาติกะ หรือทำไมโอปปาติกะปราฏตัว บ้างก็ไม่ปรากฏตัว นั่นก็ด้วยเหตุผลดังนี้
1. เพราะไม่อยากมา
เหตุผลนี้ก็ต้องมีเรื่องเล่าจากพระไตรปิฎกประกอบ
พระเจ้าปายาสิยังมีบทสนทนาโต้ตอบกับพระกุมารกัสสปะอีกหลายข้อ เรื่องหนึ่งคือพระองค์ได้ทรงเล่าว่า เคยมีคนที่ทำความดีมาตลอดชีวิต ซึ่งตามหลักศาสนาแล้วตายไปน่าจะไปเกิดบนสวรรค์ เมื่อบุคคลนั้นใกล้ตาย พระองค์ก็ไปขอว่า เมื่อตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ก็ให้กลับมาบอกพระองค์ด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมาแม้แต่คนเดียว พระองค์จึงทรงเชื่อว่า โลกหลังความตายไม่มี โอปปาติกะไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะได้ตอบพระเจ้าปายาสิไปว่า บุคคลที่ตายแล้วขึ้นสวรรค์ไปนั้นไม่กลับมายังโลกมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดในสวรรค์แล้ว กายของบุคคลนั้นเป็นกายทิพย์ซึ่งละเอียด ประณีต มีกลิ่นหอม แล้วเมื่อเทียบกับกลิ่นกายของมนุษย์แล้ว กายมนุษย์กลายเป็นมีกลิ่นเหม็นมากจนกระทั่งไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์อีกเลย
เปรียบเหมือนบุคคลที่เคยตกลงไปในหลุมอุจจาระอยู่นาน เมื่อถูกช่วยให้ขึ้นมาจากหลุมอุจจาระนั้นได้แล้ว ได้มาอาบน้ำชำระร่างกายอย่างดี ประพรมด้วยน้ำหอม ใส่เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยแล้ว การจะให้ลงไปในหลุมอุจจาระอีก บุคคลนั้นคงจะเข็ดและปฏิเสธที่จะลงไป
2. เพราะเลยเวลา
พระกุมารกัสสปะยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่แม้ว่าชาวสวรรค์นั้นยินยอมที่จะทนกลิ่นเหม็นของมนุษย์เพื่อมาปรากฏให้มนุษย์เห็น แต่ก็จะมีปัญหาในเรื่องเวลาที่ไม่เท่ากันของแต่ละสถานที่ โดยท่านได้ยกตัวอย่างชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่ามีเวลาที่ยาวนานกว่าของมนุษย์ โดย 100 ปีมนุษย์ จะเท่ากับ 1 วัน 1 คืนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ดังนั้นหากเพียงแค่ชาวดาวดึงส์คิดว่าจะลงไปหามนุษย์คนที่เคยรู้จักกันตอนที่ตนเองยังไม่ตาย แต่ขอพักเพียงแค่สองคืนสามคืนบนสวรรค์ก่อน เพียงเท่านั้นเมื่อลงมายังแดนมนุษย์ก็จะพบว่าบุคคลที่เคยรู้จักนั้นได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เพราะบนโลกมนุษย์เวลาได้ต่างไปแล้วเป็นร้อยปี
3. เพราะมาไม่ได้
เหตุผลนี้ต้องมีเรื่องเล่าประกอบ
พระเจ้าปายาสิกล่าวกับพระกุมารกัสสปะใจความหนึ่งว่า เคยมีบุคคลที่พระองค์รู้จักซึ่งเห็นว่าเป็นคนประพฤติชั่ว ซึ่งตามหลักศาสนาแล้ว เมื่อตายไปก็น่าจะต้องตกนรก แล้วพอคนคนนั้นใกล้จะตาย พระองค์ก็ไปขอร้องว่า ถ้าตายแล้วตกนรกจริงก็ให้กลับมาบอกด้วย แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่กลับมาบอก ดังนั้นพระองค์จึงทรงเชื่อได้ว่า โลกหลังความตายไม่มี โอปปาติกะไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะได้ตอบพระเจ้าปายาสิไปว่า บุคคลที่ตายแล้วไปตกนรกนั้นกลับมาไม่ได้เพราะมี “นายนิรยบาล” คือผู้คุมในนรกไม่ให้กลับมา แล้วท่านจึงถามกลับไปยังพระเจ้าปายาสิว่า หากมีนักโทษประหารซึ่งกำลังจะถูกประหาร แต่นักโทษนั้นขอเพชฌฆาตกลับบ้านไปร่ำลาญาติพี่น้อง เพชฌฆาตจะอนุญาตให้ไปหรือไม่ ซึ่งพระเจ้าปายาสิก็ทรงยืนยันด้วยพระองค์เองว่าไม่อนุญาต
พระกุมารกัสสปะจึงกล่าวสรุปว่า ด้วยเรื่องราวคำบอกเล่าของพระองค์นี้กลับเป็นเครื่องยืนยันว่า โลกหลังความตายมีจริง โอปปาติกะมีจริง ผลของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
สรุปตามเหตุผลของพระกุมารกัสสปะซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์แล้วได้ว่า โอปปาติกะฝ่ายทุกข์ คือ ชาวนรกนี้ ไม่สามารถกลับมาปรากฏกายให้มนุษย์เห็น เพราะไม่สามารถกลับมาได้
พบเรื่องราวลึกลับมากกว่านี้ได้จากหนังสือ ผีมีจริง? สนพ. อมรินทร์ธรรมะ ราคา 175 บาท
บทความน่าสนใจ
Dhamma Daily : อุทิศบุญให้เทวดา เจ้าที่ เจ้ากรรมนายเวร บุญจะถึงหรือไม่ – ท่าน ว. มีคำตอบ
รอยยิ้มพระอรหันต์ เพราะเห็นอชครเปรต ผีเปรต โจรเผาวัด
สุกรเปรต วิบากกรรมของผู้ยุยงให้คนอื่นแตกแยก
แม่ซื้อ ผี ปีศาจ หรือนางฟ้า ประจำตัวทารก
ปัญหาธรรมประจำวันนี้ : เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นรก – สวรรค์ มีจริงหรือไม่