ขอบคุณการพลัดพราก ที่ทำให้เห็นความจริงของชีวิตได้เร็วกว่าใคร
เรื่องราวที่ได้พบเจอเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้น ทำให้ฉันเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต และเลิกอ่อนแอ ขอบคุณการพลัดพราก
ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแสนใจดีของฉันรับราชการ แม่มอบชีวิตท้ังหมดให้ลูกและสามี ฉันเป็นลูกคนเล็ก และมีพี่สาวหนึ่งคน บ้านเราหาความสุขได้ง่าย ๆ แค่การไปทำบุญที่วัดใกล้ ๆ บ้าน หาของกินอร่อย ๆ และใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย และพอเพียง ชีวิตฉันจึงแทบไม่มีเรื่องทุกข์ร้อน
ชีวิตฉันแวดล้อมด้วยความอ่อนโยน จึงเป็นคนอ่อนไหว ขี้สงสาร ฉันร้องไห้ง่าย แค่เห็นคนแก่ขอทานหรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่หิวโหยนั่งรอเศษอาหาร ฉันก็มักเก็บเอาเรื่องราวไปคิดอีกหลายวันว่า ทำไมผู้คนหรือเหล่าสัตว์ต่าง ๆ นั้นต้องพบเจอสิ่งที่เจ็บปวด บางคนมีเงินมีทองแต่กลับหาความสุขไม่ได้เลย ฉันเติบโตมาด้วยคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ
ชีวิตฉันดำเนินมาอย่างเรียบง่ายมีความสุข จนวันหนึ่งได้พบกับใครบางคนที่แสนดี เราแต่งงานกันในช่วงวัยช่วงเวลาที่แสนจะเหมาะสม จากน้ันก็มีลูกสาวที่แสนน่ารัก ครอบครัวเล็ก ๆ ของฉันมีความสุขเหลือเกิน สามีรักและหลงลูกสาวมาก เราอายุห่างกันสิบปี ฉันชอบงอแงเรียกร้องความสนใจจากเขา เลยโดนล้ออยู่บ่อย ๆ ว่าเขามีลูกสาวถึงสองคน
เรามีชีวิตที่ราบเรียบและมีความสุขเหลือเกิน จนวันหนึ่ง วันที่เขาตรวจพบโรคร้ายคือมะเร็งตับระยะที่ 4 วันที่โลกถล่มทลาย วันที่ได้รับข่าวร้าย ฉันรู้สึกตัวชาต้ังแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แขนขาไม่มีแรงแม้แต่จะเคลื่อนไหว หัวใจแหลกสลาย สามีซึ่งเป็นคนเข้มแข็งมากหันกลับมาจับมือและปลอบโยนว่า
“เดี๋ยวก็รักษาหายนะ ไม่ต้องห่วง”
เราท้ังสองคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่เราเผชิญนั้นมันร้ายแรงหนักหนาเพียงใด แต่เพื่อคนที่ฉันรัก ฉันบอกกับตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้นว่าจะอ่อนแอไม่ได้ มีสิ่งมากมายที่ต้องทำต้องคิด ตลอดเวลาที่เขาต้องต่อสู้กับความรุนแรงของโรค มันสุดแสนเจ็บปวดและทรมานเหลือเกิน ฉันไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาถ่ายทอดความปวดร้าวนี้ได้ มันยากนักที่จะเฝ้านับถอยหลังเวลาชีวิตของคนที่รัก แต่ฉันไม่มีน้ำตาให้ใครเห็นสักหยด เพื่อไม่ให้ครอบครัวต้องเป็นห่วง และไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ลูกสาววัย 12 ขวบของเราช่วยฉันทุกอย่าง คอยป้อนอาหาร อ่านหนังสือให้พ่อฟัง เช็ดเนื้อเช็ดตัวยามพ่อร้อนทุรนทุราย และเช็ดทำความสะอาดเมื่อพ่อขับถ่ายอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
ฉันเฝ้ามองสองมือเล็ก ๆ ที่คอยบีบนวดให้พ่อไป กินขนมไป จิตใจที่อ่อนแอของฉัน มันแกร่งขึ้นมาเองโดยที่ฉันก็ยังแปลกใจ เขามีชีวิตต่อมาอีกเพียง 8 เดือน มะเร็งร้ายไม่ได้คร่าชีวิตคนรักหรือสามีของฉันไป แต่คร่าทุก อย่างในชีวิตของฉัน ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งคนที่หวังว่าจะแก่ไปด้วยกัน จับมือกัน ดูแลกันยามแก่เฒ่า ชีวิตของฉันพังทลายตอนลูกอายุได้ 12 ปี ฉันเป็แม่บ้าน ไม่ได้ทำงานมานาน และอายุก็มากด้วย ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มี ใครรับ จะค้าขายก็ไม่มีเงินทุน แถมตอนนั้นก็เป็นหนี้เป็นสินจากการรักษาตัวของสามี
หนทางชีวิตที่เหลือเรียกว่ามืดสนิท ไร้แสงสว่างและทางออกใด ๆ สิ่งที่เจ็บปวดไปกว่าน้ันคือการเห็นพ่อแม่ตัวเองทุกข์ใจ ทั้งที่ท่านท้ังสองควรจะมีความสุขในบ้ันปลายของชีวิต ฉันบอกตัวเองว่าต้องลุกขึ้นตั้งหลักให้เร็วที่สุด เรียกสติ และใช้ปัญญามองหาหนทาง ฉันเริ่มจากการขายของเก่า เสื้อผ้าเก่าในบ้าน ทำให้พบว่ามีของที่ไม่จำเป็นมากมายที่ยังมีราคากับคนอื่นอยู่
ฉันได้เงินทุนมาหนึ่งก้อน จึงเปิดร้านขายผลไม้เล็ก ๆ พอหาเลี้ยงตัวเองและลูกได้ หลังจากน้ันฉันก็มีโอกาสเข้าทำงานที่แห่งหนึ่ง ได้อยู่ใกล้ศิลปะที่ฉันรัก ฉันมีท้ังเงินเดือน มีรายได้พิเศษ สามารถยิ้มได้อย่างมีความสุข ฉันใช้ชีวิตอย่างมีสติ และไม่เจ็บปวดกับความไม่แน่นอนของผู้คนอีกแล้ว
สิ่งสำคัญที่ต้องทำไปพร้อม ๆ กับการหาเลี้ยงชีพคือ การดูแลหัวใจดวงเล็ก ๆ ของลูกที่ต้องพบกับความสูญเสียพ่ออันเป็นที่รัก แต่นับเป็นความโชคดี เพราะลูกสาวมีลักษณะนิสัยเหมือนกับพ่อ คือเป็นคนดี เข้มแข็ง มองโลกในแง่ดีเสมอ ตัวแทนที่สามีทิ้งไว้คือ ลูกสาวคนนี้ที่มีรอยยิ้ม แววตาความอาทร เหมือนกันจนน่าประหลาด ฉันไม่เคยรู้สึกว่า ลูกเป็นภาระใด ๆ เลย เขาเป็นตัวแทน เป็นเพื่อน เป็นกำลังใจ เราสองคนเป็นทุกอย่างของกันและกัน บางครั้งลูกก็เป็นคนทำให้เรารู้สึกว่าโชคดียิ่งนักที่ความพลัดพรากเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราได้เห็น ได้ตระหนักความจริงของชีวิตได้เร็วกว่าใคร ๆ เราอาจได้พบทางสงบสุข แสงสว่างแห่งชีวิตได้เร็วขึ้น
เราสองคนแม่ลูกช่างโชคดีเหลือเกิน มาบัดนี้คำถามบางข้อ ฉันมีคำตอบแล้ว
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง งามเนตร ภิรมย์ชม
บทความน่าสนใจ