ตามหารักแท้

True Story: “เพลิงรัก” เรื่องจริงของนางแบบเซ็กซี่ที่ต้องการ ตามหารักแท้

True Story: “เพลิงรัก” เรื่องจริงของนางแบบเซ็กซี่ที่ต้องการ ตามหารักแท้

ฉันโหยหาความรักจากแม่มาตั้งแต่เล็ก เพราะรู้สึกมาตลอดว่าแม่รักน้องมากกว่า เรื่องเล็กๆ นี้กลายเป็นปมที่พันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวใจที่ไม่ว่าใครก็แกะไม่ออก ทำให้ฉันต้อง ตามหารักแท้ ก็เป็นได้ 

ตอนนั้นฉันได้แต่ปฏิญาณกับตัวเองว่า “ถ้าฉันมีลูก ฉันจะรักลูกให้มากที่สุดจะไม่ทำเหมือนแม่เด็ดขาด” อาจเพราะปมโหยหาความรักจากแม่ทำให้ฉันโหยหาความอบอุ่นจากคนอื่นเรื่อยมาฉันให้ความรักเพราะหวังจะได้รับรักตอบ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง หลังเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ฉันก็ทำงานเป็นนางแบบ ก่อนจะท้องทั้งที่อายุเพียงแค่ 20 ปี ด้วยเหตุนี้ แฟนหนุ่มจึงจำต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับฉัน

การแต่งงานที่ไม่พร้อมด้วยความรักความเข้าใจ จึงกลายเป็นปัญหาในเวลาต่อมา

“วันนี้พี่มีประชุม ไปก่อนนะ” สามี (จำใจ) ของฉันทำท่ารีบเร่ง

ฉันคงจะไม่เอะใจเลยหากวันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ ว่าแล้วฉันจึงโทร.ไปสอบถามยามประจำบริษัทของเขาจนได้ความว่าวันนี้เป็นวันหยุด เจ้านายไปเมืองนอกไม่มีประชุมใด ๆ ก่อนจะโทร.ไปสอบสวนเพื่อนร่วมงานของเขา ได้ความว่าสามีของฉันฉวยโอกาสพา “เด็ก” ไปเดินเล่นแถวตึกใบหยกและประตูน้ำ

ราวกับคนบ้า ฉันรีบโบกแท็กซี่ไปตึกใบหยกทันที แต่วิ่งขึ้นวิ่งลงตามหาสามีไม่รักดีเท่าไรก็หาไม่เจอ ลองสุ่มไปตามหาแถวประตูน้ำก็ไร้วี่แวว ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่กลับบ้านมานั่งร้องไห้คร่ำครวญรอสามีอยู่อย่างนั้น

เวลาล่วงเลยไปจนเย็น สามีกลับมาบ้านด้วยหน้าตาสดชื่น บอกว่า “เพิ่งประชุมเสร็จ” ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ความหวาดระแวงก็เข้ามาปกคลุมในใจ เราทะเลาะกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มตบตีฉันต่อหน้าลูก ครั้งหนึ่งเขาจับฉันเหวี่ยงไปกระแทกกำแพง แล้วขึ้นคร่อม ก่อนจะตบซ้ำ ๆ โดยมีลูกวัยสองขวบครึ่งนั่งมองตาแป๋ว

ฉันกรีดร้อง ตะโกนขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่สามี แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกไม้หน้าสามตีแสกหน้า เมื่อได้ยินแม่สามีตะโกนกลับมาว่า “สมน้ำหน้า…สมควรโดนแล้วละ”

ฉันตัดสินใจเดินออกจากบ้านในวันนั้นตัดใจฝากลูกไว้กับคนเป็นพ่อและปู่ย่าของเขานอกจากบาดแผลบวมช้ำตามร่างกาย ฉันไม่มีอะไรติดตัวออกมาเลย แม้แต่หัวใจก็แตกสลาย เพราะต้องทิ้งลูกไว้ที่นั่น

สองปีต่อมา ฉันได้เจอผู้ชายคนใหม่ความรักของเราเกิดขึ้นจากความเห็นอก-เห็นใจกัน หลังจากแต่งงาน ฉันก็ตั้งท้องลูกคนที่สอง ฉันแพ้ท้องหนักมาก จึงตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วไปรับลูกคนแรกมาอยู่ด้วยกัน ฉันย้ายไปอยู่บ้านสามีที่เชียงใหม่ แต่ทางบ้านสามีไม่ยอมรับฉันพวกเขามักดูถูกและตราหน้าฉันอยู่เนือง ๆว่า “เกาะผัวกิน” บ้าง “ไร้อนาคต” บ้าง

หลังจากคลอดลูกได้เพียงเดือนเดียวฉันก็ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจชวนสามีกระเตงลูกออกมาตายเอาดาบหน้า พอกลับมาเมืองกรุง ฉันก็ทำงานเป็นพีอาร์ตอนกลางคืนจนลูกอายุเกือบหนึ่งขวบ สามีก็เริ่มหันไปทำธุรกิจ “เลี้ยงโค”…โคโยตี้ อาชีพยอดฮิตของผู้ชายที่ไม่รู้จักพอนั่นแหละค่ะ!

“ตัดใจจากผู้หญิงคนนั้นแล้วทำเพื่อลูกได้ไหม อย่าให้ลูกต้องกำพร้าพ่อเลยกลับมาดูแลลูกเถอะ…จะให้ฉันกราบเท้าก็ยอม”

แต่คำตอบของเขาก็คือ…“ทำให้ไม่ได้” ความอดทนของฉันจึงสิ้นสุดลง

“ถ้าเลือกผู้หญิงคนนั้น ก็อย่ามายุ่งกับลูกอีก” ฉันประกาศกร้าว ทั้งที่หัวใจร้าวรานฉันเก็บข้าวเก็บของเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น และตัดสินใจบินไปช่วยป้าทำงานที่ร้านอาหารในต่างประเทศ ส่วนลูกทั้งสองคนฉันฝากแม่ให้เลี้ยงดูแทน โดยที่ไม่เคยเอะใจเลยว่ามีลูกอีกคนติดท้องไปด้วย โชคร้ายที่กฎหมายของประเทศนั้นห้ามไม่ให้คนท้องทำงาน ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะทำได้!

22 สิงหาคม…ฉันจำได้อย่างแม่นยำวันนั้นฉันตื่นขึ้นมาโดยไม่มีลูกในท้องอีกต่อไป ฉันได้แต่นั่งน้ำตาไหลพราก รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกถล่มทลาย ฉันฆ่าลูกของตัวเอง ลูกที่ฉันปฏิญาณว่าจะรักให้มากที่สุดฉันทำลงไปได้อย่างไร!

ฉันเข็ดขยาดกับความรักไปนาน หลังกลับจากต่างประเทศ ฉันไปทำงานเป็นนางแบบอีกครั้ง นางแบบเล็ก ๆ อย่างฉันถูกจ้างให้ใส่บิกินี่ เดินขายเหล้าในผับทำงาน 3 ชั่วโมงได้เงินสามพันบาท แม้จะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่อเห็นเงินที่จะเป็นค่ากินค่าอยู่ของเราแม่ลูก ฉันก็ยอมทำ

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่หน้าตาฉันไปเข้าตาคนทำหนังสือเรตอาร์เล่มหนึ่ง เขาจึงชักชวนฉันให้ลองไปถ่ายแบบเซ็กซี่ เขาให้เงินฉันไปทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก ส่วนค่าตอบแทนก็มากพอจะเลี้ยงดูได้หลายชีวิตฉันใช้เวลาคิดไม่นาน ก็ตัดสินใจรับงานถ่ายแบบวาบหวิว…และเริ่มมีชื่อเสียงทางนี้ในเวลาต่อมา

อาชีพที่ทุกคนมองว่าน่าจะ (ใจ) “ง่าย”บวกกับภาพลักษณ์ในทางโป๊ ๆ เปลือย ๆเป็นเหมือนแรงดึงดูดที่ทำให้ผู้ชายมากหน้าหลายตาดาหน้าเข้ามาในชีวิตฉัน ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีผู้ชายดี ๆ คนไหนจริงใจกับนางแบบติดเรต จะมีก็แต่นายหน้าของคนใหญ่คนโตที่มาติดต่อขอ “เลี้ยง” หรือน้องชายของผู้มีอิทธิพลที่เอาปืนมาจ่อหัวเพราะ “อยากได้”แม้แต่ลูกชายเศรษฐีก็เคยมาขอ “ซื้อ” ตัวฉันไป “นอน” ด้วย

ฉันปฏิเสธคนเหล่านั้น เพราะฉันถ่ายแบบเรตอาร์เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงลูก ไม่ได้ต้องการจะขายตัวเอง พอต้องใช้เงินมากขึ้นฉันก็ขยับไปทำงานใหญ่ขึ้น เล่นหนังอีโรติกบ้าง หนังเรตอาร์บ้าง ฉันเรียกชีวิตช่วงนั้นว่า ช่วง “เสริมอึ๋ม - ขายเต้า - สร้างรายได้ให้ครอบครัว”

ฉันพบรักอีกครั้งเมื่อลูกคนที่สองอายุได้ 7 ขวบ เขาคนนี้คอยให้กำลังใจฉันเสมอมา ช่วงที่ฉันคบกับเขา ฉันเซ็นสัญญากับสังกัดหนึ่งซึ่งป้อนงานถ่ายหนังและถ่ายแบบให้มากมาย ทว่าความรุ่งโรจน์ก็อยู่กับฉันไม่นาน…เมื่อฉันท้องอีกครั้ง ฉันก็ถูกต้นสังกัดฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เพราะถ้าท้องโตขึ้นทุกวัน ฉันก็คงทำงานตามที่เซ็นสัญญาไปแล้วไม่ได้

พอรู้ว่าฉันท้อง แฟนของฉันเริ่มเครียดและกดดัน เพราะคนในครอบครัวของเขาไม่มีใครรู้เรื่องของเราสักคน จากความเครียดกลายเป็นความโกรธ เขาเริ่มตบตีฉัน บางครั้งก็ถีบที่ขา ถ่มน้ำลายใส่หรือไม่ก็ใช้สันมือตบที่หัวฉันเป็นสิบ ๆ ครั้งแต่ทุกครั้งที่ลงมือกับฉัน เขาจะระวังไม่ให้โดนลูกในท้อง เพราะเขารักลูก แต่รังเกียจฉัน ตั้งแต่ตั้งท้องเดือนที่ 4 ยันวันคลอดไม่มีวันไหนทีฉันว่างเว้นจากการถูกทำร้ายร่างกาย

“กูไม่ต้องการมึงแล้ว มึงยังอยู่ในชีวิตกูทำไม กูเลี้ยงหมา กูยังไม่เคยตีเลย มึงคิดดูแล้วกันว่ามึงเป็นอะไรในชีวิตกู” เขาไล่ฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกวันของเรามีแต่คำหยาบฉันเคยสงสัยว่าทำไมเขาถึงขับไล่ไสส่งฉันนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราก็เคยดีต่อกัน จนวันหนึ่งฉันจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากกำจัดฉันออกจากชีวิตเขา

วันนั้นฉันบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างแฟนฉันกับน้องสาวแท้ ๆ ของเขาซึ่งไม่ได้โตมาด้วยกัน มันทำให้ฉันเอะใจเช่น “เฮียไม่รักหนูแล้วเหรอ” “เฮียนอกใจหนูใช่ไหม”

คนรอบข้างคิดว่าฉันคิดมากไปเอง…ฉันจึงสวมบทบาทนักสืบหัวเห็ดไปหาหลักฐานฉันแอบไขกุญแจเข้าไปในคอนโดที่แฟนฉันซื้อไว้ให้น้องสาวอยู่ ฉันมีโทรศัพท์มือถือติดตัวไป 2 เครื่อง เมื่อไปถึง ฉันจัดแจงใช้มือถือเครื่องหนึ่งโทร.เข้าอีกเครื่องแล้วกดรับสายทิ้งไว้ ก่อนจะซ่อนโทรศัพท์เครื่องนั้นเอาไว้ในห้อง

ฉันใช้โทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งรอฟังสายอยู่ไม่นาน แฟนฉันและน้องสาวของเขาก็กลับเข้ามา สิ่งที่ฉันได้ยินคือเสียงที่ทั้งสองงอนง้อกันราวกับคู่รัก ตามด้วยเสียงสัมพันธ์สวาท…ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ที่เขาตบตีและพยายามไล่ฉันไปจากชีวิตเขา ก็เพราะเขากลัว “น้องรัก” ของเขาจะรู้นั่นเอง

ฉันอยากแก้แค้นที่ถูกเขาทำร้ายจนเจ็บทั้งกายและใจ ยิ่งเขาอยากไล่ฉันไปจากชีวิตเขามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งตั้งป้อมว่าจะไม่ไปไหน แม้ว่าจะโดนตบตีหรือบางครั้งถึงกับถูกจิกหัวไปกระแทกคอนโซลรถก็ตาม

วันที่ฉันจะคลอด เขายังมาเหยียดหยามทำร้ายร่างกายฉันถึงโรงพยาบาลทว่าก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง “เรื่องผัวเมีย”วินาทีนั้นฉันรู้สึกน้อยใจโชคชะตาบ้า ๆ นี้เต็มที

“พอแล้ว พอกันที ไม่เอาแล้ว!”เพลิงรักครั้งนี้เผาผลาญหัวใจฉันจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก ชั่วขณะนั้น ฉันตัดสินใจกระชากสายน้ำเกลือออกแล้วเดินสะเปะสะปะไปที่หน้าต่าง หมายจะกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด ความเจ็บปวดทั้งหลายจะได้จบสิ้นลงเสียที

“จะได้เห็นหน้าลูกในอีกไม่กี่วินาทีนี้แล้ว…ทำเพื่อลูกเถอะ อย่าคิดสั้นเลย”โชคดีที่พยาบาลเดินเข้ามาเห็นและห้ามฉันไว้ทัน สุดท้ายฉันคลอดลูกคนที่สามออกมาและดูเหมือนว่าแฟนฉันจะรักลูกของเขามาก

หลังคลอดไม่กี่เดือน ฉันตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตเขา ไม่อยู่ให้เขาทำร้ายอีกต่อไป แต่มรสุมชีวิตก็ยังรุมเร้าเข้ามาไม่หยุด เมื่อฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลและหมอบอกฉันว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและมะเร็งปากมดลูก

เมื่ออดีตแฟนคนที่สามรู้ข่าว เขาก็ช่วยเหลือเรื่องเงินและการรักษาอย่างเต็มที่คงเพราะความสงสารและอยากให้ลูกได้มีแม่

ปัญหาที่รุมเร้าทำให้ฉันเริ่มหาที่พึ่ง ฉันตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดตรีวิสุทธิธรรมฉันคิดว่าอย่างน้อย ก่อนตาย ฉันขอทำความดีสักอย่างเถอะ…

น่าแปลกที่หลังจากปฏิบัติธรรมอาการของฉันก็เริ่มดีขึ้น ส่วนใจก็ปล่อยวางกับสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น…มากพอที่จะทำให้เข้าใจว่า…

ปมที่พันกันยุ่งเหยิงในหัวใจฉันนั้นไม่มีใครจะช่วยแกะได้ เช่นเดียวกับเพลิงรักที่แผดเผาหัวใจฉันครั้งแล้ว…ครั้งเล่า ก็คงไม่มีใครจะช่วยดับได้

นอกจาก…ตัวฉันเอง!

 


พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ

ถ้ายังจำต้องทำไม่ดี เลิกไม่ได้ ละไม่ได้ ให้เอาช่วงที่ว่างจากการทำไม่ดีแฉลบไปทำสิ่งดีเสีย เช่นไปดูแลคุณพ่อคุณแม่ ไปทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาฯลฯ อย่างนี้เขาเรียกว่า “ชั่วการกุศล” เพื่อให้พ่อแม่สุขสบาย ให้ลูกได้เล่าเรียน และไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร คุณก็ยังมีเวลาทำดีอยู่ สิ่งดีงามยังคงรอให้คุณเดินเข้ามาหา…ประตูแห่งความดี สวรรค์ นิพพานยังคงเปิดให้คุณ โดยไม่เกี่ยงว่าคุณทำอาชีพอะไร จะเป็นโสเภณีหรือดาราหนังเรตอาร์ก็ยังมีสิทธิ์เดินเข้าไปในประตูบานนั้น

หากยังเลิกทำอาชีพนี้ไม่ได้ตอนนี้ เพราะมีความจำเป็นบางสิ่งบางอย่าง ก็ให้ตั้งเป้าไว้ว่าจะทำอีกกี่ปี 5 ปี 10 ปี ถ้าไม่ตั้งเป้าไว้ เราจะไม่มีทิศทาง มัวแต่ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจะทำอะไรต้องมีเป้าหมาย ต้องมีสัจจะสาบานกับตัวเอง นอกจากนี้จะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องอย่าลืมกตัญญูต่อพ่อแม่ ให้ยึดสถาบันครอบครัวไว้ก่อนและอย่าลืมหากัลยาณมิตร หรือหาเพื่อนดี ๆ ให้ตัวเอง เพราะข้างนอกอาจมีแต่คนจ้องจะเขมือบหรือจ้องจะเอาผลประโยชน์ ควรหากัลยาณมิตรให้ตัวเองสักหนึ่งคน แล้วจะพบแสงสว่างในชีวิตเอง

 

เรื่อง ณัฐนภ ตระกลธนภาส

ภาพhttps://www.pexels.com


บทความน่าสนใจ

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน นิทานที่เขาแต่งขึ้นคือชีวิตจริงของเขา

True story : ชีวิตจริงของ ซินเดอเรลล่า เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

เหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง : ชีวิตจริงของคนเกเรที่ล้มซ้ำๆ แต่ยังมีวัน “เกิดใหม่”

True Story : ชีวิตจริง บนเส้นทางสายทุกข์

ติดยา เล่นพนัน เกือบปล้นแบงค์มาเลี้ยงกิ๊ก !! ชีวิตจริงสีเทาก่อนพบผ้าเหลือง

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.