ทำบุญด้วยใจ เงื่อนไขไม่จำเป็นต้องมี
ทำบุญด้วยใจ เงื่อนไขไม่จำเป็นต้องมี……
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในโลกที่มีความต้องการมากมายไม่รู้จบ ได้เท่าไร มีมากแค่ไหนก็ไม่รู้จักพอ คิดอยู่แต่ว่าฉันจะต้องได้สิ่งดีกว่านั้น ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ และดีไม่มีที่สิ้นสุด…
ด้วยเหตุนี้ “เงื่อนไข” ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการอันไม่รู้จบ ไม่เว้นแม้แต่วิถีปฏิบัติในศาสนาอย่าง “การทำบุญ” ก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
ทำบุญแบบมีเงื่อนไข คืออะไร ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงบุญได้ง่าย ที่สุดและเป็นบุญที่แท้จริง ต้องทำบุญกับพระเท่านั้นหรือจึงจะได้บุญ มาเจาะลึกเรื่องบุญๆแบบถึงแก่นกัน แล้วคุณจะรู้ว่า การทำบุญที่แท้จริงเป็นเรื่องง่ายขนาดไหน ใครๆ ก็ทำบุญได้แม้แต่อยู่ในบ้าน
“บุญ” เรื่องที่คุณเองยังอาจเข้าใจผิด ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดสำรวจความ คิดเห็นของชาวพุทธทั้งหญิง – ชาย ในกรุงเทพฯจำนวน 1,128 คน
เมื่อพ.ศ. 2548 ในหัวข้อคนไทยกับการทำบุญพบว่า คนไทยมักทำบุญในวันสำคัญทางศาสนามากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือทำบุญในวันสำคัญของตนเองและคนใกล้ชิดทำบุญ ในเทศกาลสำคัญทำบุญเมื่อมีความทุกข์และทำบุญในช่วงวันหวยออก คนไทยมักถวายเงินและสิ่งของเครื่องใช้แก่ภิกษุสงฆ์มากเป็น อันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ไปไหว้พระ บริจาคทรัพย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า และบริจาคทรัพย์สร้างถาวรวัตถุให้วัด
คนไทยหวังความสบายใจจากการทำบุญมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคืออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ขอให้มีความสุขความเจริญ ขอให้รอดพ้นจากเรื่องร้ายๆ ที่เป็นอยู่ และขอสั่งสมบุญไว้ชาติหน้า ผลการสำรวจทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชาวพุทธส่วนมาก ยัง “ยึดติด” ในกรอบความคิดที่ว่า การทำบุญต้องมีวาระ ต้องทำบุญกับพระ ต้องใช้ปัจจัย (เงิน) เป็นหลักในการทำบุญ และต้องได้รับผลตอบแทนตามมา
ร้ายไปกว่านั้นการทำบุญของใครหลายคนยังเต็มไปด้วย คำถาม “ทำอย่างไรให้ได้บุญมาก” เป็น เหตุให้ “เงื่อนไขแบบโลกทุนนิยม” เข้ามา มีบทบาทในการทำบุญ ทำนองว่า ต้องลงทุนเท่าไรจึงจะได้กำไรสูงสุด เงื่อนไขและแนวคิดดังกล่าว จึงเป็นผลให้เราหันมาใช้ ศรัทธา (ความลุ่มหลง) เป็นตัวนำบุญไป
โดยปราศจาก ปัญญา กำกับ เมื่อเป็น เช่นนี้จึงไม่น่าแปลกเลยว่าเหตุใดเราจึงได้ยินเรื่องราวของการทุ่มเทวัตถุปัจจัยจำนวนมากๆ เพื่อหวังได้บุญ ขั้นนั้นขั้นนี้อยู่บ่อยๆ บางคนถึงขนาดว่า ทำบุญจนเกินตัวหมดเนื้อหมดตัวก็มี สุดท้ายการทำบุญในโลกทุนนิยมจึงไม่ต่างจากการสะสมแต้มบัตรเครดิต “ยิ่งทำมากยิ่งได้บุญมาก” ยิ่งได้ทำบุญกับ พระเถระผู้ใหญ่ เกจิชื่อดัง ยิ่งได้บุญมากเป็นสองเท่า หรือยิ่งทำบุญแล้วคนรู้จักเรามากๆก็ยิ่งดีฯลฯ
รู้จัก “บุญแท้” และหนทางไปสู่บุญ
หลวงปู่ขาว อนาลโย กล่าวไว้ว่า “บุญเป็นเครื่องกรองกิเลส ที่เต็มอยู่ในจิตใจออกไปให้เหลือแต่ใจอย่างเดียวเพื่อให้ใจสะอาด ปราศจากความรัก โลภ โกรธ หลง”
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กล่าวไว้ว่า “บุญเป็นสิ่งที่ดี ทำลงไป แล้วใจสะอาดจิตใจผ่องใส และเบิกบาน ให้สังเกตอย่างนี้ อย่าเอาใจตนเป็นเครื่องวัด เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องวัด สิ่งใดที่ทำด้วยกายหรือวาจา หรือนึกคิดด้วยใจ?ถ้าหากไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น อันนั้นแหละเรียกว่า “บุญ”
หัวใจสำคัญของบุญจึงอยู่ที่การ “ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหาในใจ ให้ได้ ด้วยกระบวนการทางปัญญา เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดทั้งใน ใจตนและผู้อื่น”
บุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นหนทางสู่บุญแท้ในทางพุทธศาสนาที่เอ่ยถึงกันอยู่บ่อยๆได้แก่
1. การแบ่งปันเกื้อกูลผู้อื่น (ทานมัย)
2.การทำความดีละเว้นความชั่ว (สีลมัย)
3.การพัฒนาจิต-ปัญญาให้สูงขึ้น (ภาวนามัย)
4.การอ่อนน้อมถ่อมตน (อปจายนมัย)
5.การช่วยเหลือเกื้อกูล (เวยยาวัจจมัย)
6.เฉลี่ยความดีให้ผู้อื่นชื่นชม (ปัตติทานมัย)
7.อนุโมทนา ชื่นชมความสุขของผู้อื่น (ปัตตานุโมทนามัย)
8.ฟังเรื่องดีมีสารประโยชน์ (ธัมมัสสวนมัย)
9.แนะนำสารประโยชน์ให้ผู้อื่นรับรู้ (ธัมมเทสนามัย)
10.การทำความเห็นให้ถูกต้อง (ทิฏฐุชุกัมม์)
หลักการทำบุญให้ได้บุญแท้อย่างง่ายๆสรุปได้เป็น 3 ประการ สำคัญได้แก่
ทาน ศีลและ ภาวนา พึงระลึกไว้ว่า “บุญจาก การให้ทาน แม้มากมายเพียงใดก็ไม่มากเท่าบุญจาก การรักษาศีลแต่บุญอันเกิดจากการรักษาศีล ก็เทียบไม่ได้กับบุญที่เกิดจาก การเจริญภาวนา”
“ทานและวัด” ไม่ใช่ทางออกหนึ่งเดียวของบุญ
หลายคนมักเข้าใจว่า ทำบุญกับทำทานมีความหมายเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ทาน เป็นเพียงพื้นฐานของการทำบุญที่หยาบที่สุดและทำได้ง่ายที่สุดก็ว่าได้ทำทานเพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนียว
การยึดติดในใจเราสามารถทำบุญได้ทั้งแรงกาย แรงใจ เวลา หรือวัตถุปัจจัยและสามารถทำบุญได้โดยไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำเป็นว่าต้องทำบุญที่วัด หรือทำบุญกับภิกษุสงฆ์เท่านั้น?ดังความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า
“ชนเหล่าใดปลูกป่า สร้างสะพาน จัดหาเรือข้ามฟาก จัดที่ บริการน้ำดื่ม ขุดบ่อน้ำ สร้างที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้นย่อมงอกงามทุกทิวาราตรีกาล ชนเหล่านั้นเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลอยู่ในทางแห่งความดีงาม”
หากขยายความให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรายังสามารถทำบุญได้ถึง 3 ประเภทด้วยกัน คือ
ทำบุญกับผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติคนรอบข้าง มีน้ำใจให้กันและกัน ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ตอบแทนผู้มีพระคุณ ให้อภัย (อภัยทาน) ให้ความรู้ คำแนะนำแก่ผู้ไม่รู้ (วิทยาทานและธรรมทาน)
ทำบุญกับสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย รักษาสาธารณสมบัติ สืบสานวัฒนธรรมประเพณี?ต่อต้านการคดโกง?การเอารัดเอาเปรียบ ชาติบ้านเมือง เป็นหูเป็นตาให้สังคม
ทำบุญกับธรรมชาติ ตระหนักในประโยชน์ที่ได้รับจากป่าไม้ สายน้ำ ผืนดิน ท้องฟ้า เช่น ลดการใช้พลาสติกและโฟม ไม่ทิ้งขยะ ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลอง ไม่ทำลายป่าหรือล่าสัตว์ป่า และปลูกป่าทดแทน
ที่มา : นิตยสาร Secret คอมลัมน์ Feature
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร
บทความที่น่าสนใจ
Dhamma Daily: ฝากของให้คนอื่นไปทำบุญให้พ่อแม่ แบบนี้จะได้บุญไหม
5 คําถามยอดฮิตติดในใจ เรื่องของการทำบุญ
ทำทานเหมือนการอาบน้ำ คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ
ทำทานอย่างไรให้ได้บุญ แนวทางเพื่อการทำทาน
ให้ทานอย่างไร จึงจะได้ทำบุญอย่างสมบูรณ์