สุขตามจริต ซานิ – นิภาภรณ์ ฐิติธนการ
0
ในวงการเพลงเคยขนานนาม ซานิ – นิภาภรณ์ ฐิติธนการ ว่า “คนล่าฝัน” แต่ในชีวิตที่ผ่านมานั้น เธอมองว่าเป็นบทเรียนที่ทําให้เธอรู้จัก “ความสุข” โดยไม่จําเป็นต้องละทิ้งตัวตนของตัวเอง
0
ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้างคะ
0
เราเกิดมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่ไม่ได้เรียนจบสูง ท่านจึงย้ําเสมอเรื่องการเรียน และเราไม่ใช่ครอบครัวร่ํารวย แต่จะเห็นความพยายามของคุณพ่อคุณแม่ที่ทํางานหนัก เพื่อหาเงินส่งเราไปเรียนในโรงเรียนที่ดี จึงได้เรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6
0
ตอนเป็นเด็กเราอยู่ในช่วงเศรษฐกิจ 2 ยุค คือทั้งช่วงที่สบายและช่วงที่ลําบาก หลังเศรษฐกิจทรุดก็เกิดจุดพลิกผัน ฐานะทางบ้านเริ่มไม่โอเค คุณพ่อต้องเปลี่ยนงาน แต่ก็ยังฝืนให้เราเรียนโรงเรียนที่ดี เพื่อให้ลูกอยู่ในสังคมที่ดี โดยไม่บอกอะไรกับเราเลย ทําทุกอย่างปกติ วางเงินไว้ให้ใช้ เป็นปกติทุกวัน เราไม่รู้เรื่องปัญหาการเงินของที่บ้านเลย
0
กระทั่งเรียนประมาณชั้นม.3 มีวันหนึ่งที่ทําให้เราเปลี่ยนความคิด วันนั้นเราจะขอเงินเพิ่มไปซื้อของ พอเปิดดูกระเป๋าเงินแม่ ปรากฏว่าไม่มีเงินอยู่เลย ซึ่งผิดปกติ เราก็เริ่มเอะใจ หลังเลิกงานพ่อกับแม่ก็คุยกันเงียบ ๆ สองคน เราก็ได้ยินหมดทุกอย่าง เพราะอยู่คอนโด ตอนนั้นทําให้ตัวเองเปลี่ยนความคิดเลยว่า เราจะมาฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
0
เปลี่ยนความคิดแล้วเปลี่ยนตัวเองอย่างไรคะ
0
อยากหาเงินเองจะได้ไม่ต้องขอเงินจากแม่ พอขึ้น ม.4 ก็หารายได้พิเศษหลังเลือกเรียนไปเป็นลูกจ้างร้านขายเสื้อผ้าแถวสยามของรุ่นพี่ ตอนนั้นไม่ได้บอกแม่ด้วยว่าทํางาน แม่ก็คิดว่าไปเรียนพิเศษกลับบ้านดึกตามปกติ ตอนนั้นไม่ได้เงินมาก แต่ทําให้เราซื้อของที่อยากได้โดยไม่รบกวนที่บ้าน ระยะหลังพ่อกับแม่เริ่มผิดสังเกต พอคุยกันท่านก็ไม่ว่าอะไร การทํางานในช่วงม.ปลาย ทําเพื่อช่วยตัวเองก่อน ยังไม่ถึงกับช่วยแบ่งเบาภาระทุกอย่างของบ้าน
0
สังคมที่โรงเรียนตอนนั้น พอเลิกเรียนเขาก็นั่งสตาร์บัคส์ ปิดเทอมก็ไปเมืองนอก แต่เราปิดเทอมก็ไปทํางาน โชคดีมากที่มีเพื่อนที่ดี ทุกคนในกลุ่มเข้าใจเรา ไม่เคยดูถูก ไม่มาคอยถามว่าทําไมไม่ไปเที่ยวอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคยเลย เพื่อนบอกด้วยซ้ําว่า เราเก่ง เขาอยากทําบ้าง
0
เคยรู้สึกว่าตัวเองลําบาก ไปโรงเรียนก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขากลับนั่งรถเมล์ ใช้ชีวิตแบบนี้จนรู้สึกว่า สิ่งที่เราเจออยู่คือชีวิตประจําวันที่เรารับได้และมีความสุขกับมัน เราขายของด้วยความสนุกสนาน อาจเพราะชอบแฟชั่น ชอบแต่งตัว จึงแนะนําคนได้ เรียกคนให้มาซื้อของ ได้ด้วยคาแร็คเตอร์ของตัวเอง จึงไม่คิดว่าการทํางานพิเศษเป็นความทุกข์ แต่กลับสนุกกับทุก ๆ อย่างที่กําลังทํา
0
จากแม่ค้า ม.ปลาย กลายมาเป็นนักร้องได้อย่างไรคะ
0
ช่วงม.ปลายทํากิจกรรมเยอะ จนได้เป็นนักร้องประสานเสียงของโรงเรียน และรู้ว่าเราชอบอะไร อยากทําอะไรเมื่อโตขึ้น คําตอบคือ สิ่งที่เราอยู่กับมันได้นานที่สุดคือการร้องเพลง ตอนนั้นอยากเรียนนิเทศศาสตร์ที่ม.กรุงเทพมาก แต่ที่บ้านไม่มีเงินขนาดนั้น สุดท้ายสอบติดคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาไทย ที่มศว โชคดีที่มีวิชาโทด้านกํากับการแสดง จึงรู้สึกเหมือนได้เรียนนิเทศด้วย
0
ขณะเรียนมหาวิทยาลัยเราก็ตั้งวงดนตรีกับเพื่อนไปเล่นตามงานกาชาด มีงานประกวดดนตรีที่ไหนก็ไปได้รางวัลบ้าง ไม่ได้บ้าง ต่อมาไปขอออดิชั่นและได้เล่นดนตรีในผับ กระทั่งมีคนชักชวนให้เป็นนักร้องในวงหญิงล้วน กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ทํางานจริงจัง ตอนนั้นร้องเพลงในผับทุกคืน วันละ 3-4 แห่ง ไม่มีวันหยุดเลย แต่ก็เรียนไปด้วยจนจบ
0
มาได้เป็นวีเจของเคเบิลทีวีรายการหนึ่ง ถ่ายรายการเสร็จก็ไปร้องเพลงในผับต่อ เริ่มได้เงินมากขึ้น จนมีเงินเดือนเดือนละ 70,000 บาท ซึ่งเยอะมากสําหรับสมัยนั้นพอที่จะผ่อนรถ เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้พ่อให้แม่ด้วย ตอนนั้นถือว่าทํางานหนักมากแต่สนุกและไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลย
0
แฮ็ปปี้กับชีวิตมาก ได้เรียนรู้คน เรียนรู้ชีวิตจากสังคมในปาร์ตี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้อะไรเยอะจากสังคมนี้ พวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่แค่มาเมาแล้วกลับ หลายคนมานั่งกินข้าว คุยกัน แลกเปลี่ยนกัน ได้รู้จักคนเยอะมาก ทํามานานถึง 8 ปีโดยไม่เคยคิดจะประกวดอีก เพราะรายได้ตอนนั้นก็มากพอสําหรับเราแล้ว แต่เพื่อนท้าให้ประกวด AF6 (True Academy Fantasia Season 6) เราก็เลยลองประกวดจนได้รางวัลชนะเลิศ
0
0
ประสบการณ์ของนักล่าฝันสอนอะไรซานิบ้างคะ
0
เข้ารอบลึกต้องเข้าไปในบ้าน AF ตามกติกาเราก็ต้องออกจากงาน กังวลมาก เพราะต้องใช้เงินผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ถ้าเราไม่ทํางาน คนที่ต้องผ่อนคือพ่อกับแม่ ลําบากท่านอีก แต่แม่บอกว่าไม่ต้องห่วง มันเป็นโอกาสของลูกแล้ว ก่อนเข้าบ้านเราก็กินข้าวไปร้องไห้ไป กลืนข้าวไม่ลง คิดหนักที่ต้องเลือก ต้องไปบอกที่ผับว่าให้หานักร้องใหม่ ที่วงก็ต้องหาคนแทน แต่ทุกคนใจดีมาก ๆ เชื่อใจว่าเราต้องทําได้
0
หลังจากชนะในปีนั้น บอกตรง ๆ ว่ารับไม่ได้เลย เพราะเคยเป็นคนที่ใช้ชีวิตอิสระมากถึงมากที่สุด พอออกจากบ้าน AF เราเจอคําวิจารณ์มากมาย มีคนด่าเราในพันทิปว่าคนนี้ชนะได้ไง ทําให้เรารู้สึกท้อ คิดว่าอยู่แบบเดิมสบาย ๆ ก็ดีอยู่แล้ว ทําไมต้องมาเจออะไรแบบนี้
0
เหมือนธรรมะจัดสรร มีแฟนคลับซื้อหนังสือมาให้ เพราะรู้ว่าเราชอบอ่านหนังสือ มีเล่มหนึ่งเป็นหนังสือของ ท่าน ว.วชิรเมธี ก็อ่านไปเจอเรื่องเกี่ยวกับการขอบคุณ และขอโทษ ท่านสอนให้เราขอบคุณคําด่าทุกคําที่เข้ามา เพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยนะว่าตัวเองเก่งหรือไม่เก่ง จนกว่าจะได้ยินคําด่า คําติฉินนินทาจากคนอื่น อย่าไปโกรธ ต้องขอบคุณคําเหล่านี้
0
จากที่คิดว่า ทําไมต้องมาทําอะไรให้คนอื่นด่าขนาดนี้ ก็หันมามองตัวเองว่าจริงไหม ถ้าจริงก็ปรับ ถ้าไม่จริงก็อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ไปตลอด เดี๋ยวก็หาย ผ่านมาเกือบ 10 ปี ประสบการณ์สอนให้เรียนรู้ว่า ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องรักษา แต่ว่าตัวตนก็เป็นสิ่งที่ต้องมีไว้ ต้องบอกว่าโชคดีมากที่ได้ทํางานในคาแร็คเตอร์ของตัวเราเอง เขาชอบที่เราเป็นคนสนุกสนาน ตลกเฮฮา ไม่มีใครบังคับให้เราเรียบร้อย
ไม่เป็นตัวของตัวเอง
0
ชีวิตไม่ได้ราบรื่น แต่เป็นคนร่าเริง อารมณ์ดี มีวิธีคิดอย่างไรคะ
0
เรามองว่าตัวเองไม่มีอุปสรรคอะไรในชีวิตเยอะ หรือเพราะเห็นอุปสรรคแต่ไม่ได้มองว่ามันเป็นอุปสรรค เราจะข้ามผ่านมันไปเอง อันไหนทุกข์ก็รู้ แต่ก็กระโดดข้ามไป
0
ไม่รู้ว่ามีนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร พ่อแม่ก็เป็นคนเคร่งครัดประมาณหนึ่ง แต่เรากลับเป็นคนลืมเร็ว ไม่เก็บ
ไม่ทุกข์ ไม่จม ตอนไหนที่ทุกข์มาก ๆ นอนหนึ่งตื่นก็หายแล้ว เป็นคนแบบนี้ ไม่โกรธคน ไม่เกลียดคนนาน ๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเองทุกข์เอง เจ็บเอง ถ้าแบบนี้จะไม่ทําเป็นคนใช้ชีวิตสบายมาก
0
วันนี้โชคดีที่แม้ไม่ได้มีเพลงดังเปรี้ยงปร้าง แต่มีคนจ้างงานเราตลอด ต้องขอบคุณความจนของตัวเองนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้เลยว่า ชีวิตเราต้องทําอะไรบ้าง ไม่รู้เลยว่าต้องหาเงินอย่างไร ต้องขวนขวายอะไร ถ้าเกิดมาสบายมีคนเลี้ยง กินดีอยู่ดี วันหนึ่งเราอาจไม่เหลืออะไรเลย
0
0
คิดถึงความไม่แน่นอนของวงการบันเทิงไหมคะ
0
ที่เล่นดนตรีในผับ แม่มักถามว่า จะอยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิตเลยเหรอ เราคิดตั้งแต่นั้นแล้วว่า ไม่ว่าวงการไหนต่างก็มีอายุของมัน ไม่ใช่แค่วงการบันเทิงนะ ถ้าเราอายุ 40 ใครจะมาฟังเราร้องเพลง พอแม่ถามก็มานั่งคิดว่า ถ้าแก่ตัวไปแล้วจะทําอะไรดี รู้สึกเหมือนปลงเลยนะ ไม่ได้กลัวว่าจะจบ แต่คิดว่าวันหนึ่งก็ต้องจบ วันนี้มีแฟนคลับ วันหนึ่งก็ต้องไม่มี วันนี้มีชื่อเสียง วันหนึ่งก็ต้องไม่มีเรารับได้หมดทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทําได้วันนี้ก็คือทํางานเก็บเงินไป มีแรงก็ทํางานไป วันไหนไม่มีแรงก็หยุดเท่านั้นเอง
0
เหมือนเข้าใจธรรมะ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนไฮเปอร์และจิตไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้ สวดมนต์ยังต้องสวดบทที่สั้นที่สุดเลย (หัวเราะ) แต่คนรอบข้างมักบอกว่า เราเป็นคนที่มีสติ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใจร้อนหรือผลีผลามทําแบบไม่คิด เรารู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ แค่ผ่านวัดแล้วยกมือไหว้ก็รู้สึกว่าได้เสริมบุญทุกเช้าให้อาหารหมาข้างถนนหน้าออฟฟิศ ก็รู้สึกว่าวันนั้นเป็นนางฟ้าแล้ว
0
วันนี้ความสุขของซานิคืออะไรคะ
0
การใช้ชีวิตแฮ็ปปี้ไปวัน ๆ (หัวเราะ) อยากทําอะไรก็ทํา มีเท่าไหร่ทําเท่านั้น แค่นั้นเลย ถ้าไปคิดว่าเพลงเราต้องดัง คนทุกคนต้องร้องเพลงเราได้ คิดอย่างนี้ทุกข์นะ แต่เมื่อไหร่ที่มีคนรู้จักมาขอถ่ายรูป ได้กินอะไรที่ตัวเองชอบ ได้เที่ยวที่ที่อยากไป ได้เจอเพื่อน ได้อยู่กับแม่ได้คุยกับพ่อ ก็รู้ว่าวันนี้มีความสุข และพรุ่งนี้ก็จะมีความสุข
0
อีกสิ่งที่ทําให้มีความสุขที่สุดในชีวิตคือแฟนคลับ เขารักตัวตนที่เราเป็น เหมือนคนในครอบครัว เพราะเราคุยกันทุกเรื่อง เราคบใครเขาก็รู้ แล้วก็ปล่อยให้ใช้ชีวิตของเรา ไม่รู้ว่าทําบุญอะไรร่วมกันมา แต่ทุกอย่างมันมีเหตุผล อยากขอบคุณที่รักในตัวตนที่เราเป็น
0
หลายคนถามว่า ทุกวันนี้ถือว่าชีวิตประสบความสําเร็จแล้วหรือยัง สารภาพว่าไม่เคยรู้ว่าความสําเร็จสูงสุดคืออะไร รู้แต่ว่าความสุขในชีวิตคืออะไร
0
ความสุขคือทุก ๆ วันได้ยิ้ม จบเลย
0
ที่มา : นิตยสาร Secret ปี 2560 ฉบับที่ 226 (26 พ.ย. 60) หน้า 32-35
คอลัมน์ : idol secret
ผู้เขียน/แต่ง : อุราณี ทับทอง
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ อัครวีร์ มีชัย
0
บทความน่าสนใจ