เพราะทุกข์นำทาง – เม้าท์ซี่ เบญจวรรณ เทิดทูลกุล
“ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย” คุณเม้าท์ซี่ – เบญจวรรณ เทิดทูลกุล เกริ่นถึงเส้นทางที่เธอหันมาสนใจธรรมะให้ ซีเคร็ตฟัง
จากนางแบบที่เรียกได้ว่าฮ็อตสุด ๆ บนรันเวย์ ด้วยลุคที่ดูเปรี้ยวและมั่นใจ เจ้าของผมสีทองที่ในยุคก่อนไม่มีใครกล้าทำแต่ถึงวันนี้เธอบวชชีมาแล้ว 3 ครั้ง และยังคงปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันเรื่อยมาเพราะเป้าหมายสูงสุดคือ “การหลุดพ้น”
การเข้าสู่เส้นทางธรรมของเธอล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มาในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งหากไม่พบกับ “ความทุกข์” จากความรัก เธอคงไม่ได้เดินทางสายธรรมเช่นทุกวันนี้
ธรรมะคือเรื่องไกลตัว
เมื่อก่อนเม้าท์ไม่ได้มาทางธรรมเลย จะทำบุญก็เฉพาะวันเกิด และไม่ได้รู้สึกว่าอยากทำบุญ หรือต้องช่วยเหลือคนอื่น ต้องเอาเงินไปหยอดตู้ที่วัดนะ คือไม่ได้นึกถึงเรื่องการทำทานเลย ส่วนเรื่องรักษาศีลหรือภาวนานี่ลืมไปได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าทำไมต้องสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ทำไปทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่เห็นคุณพ่อนั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำ
ต้องขอบอกก่อนว่า คุณพ่อของเม้าท์เป็นฝรั่งก็จริง แต่ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส เคยแปลหนังสือของท่านพุทธทาสเป็นภาษาเยอรมันด้วย และที่สำคัญคือคุณพ่อชอบนั่งสมาธิมาก เม้าท์เห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นได้แต่คิดว่า ทำไมพ่อชอบนั่งขัดสมาธิ นั่งหลับตา และทั้งที่เห็นมาตลอด กลับไม่ได้สนใจหรือทำตามคุณพ่อเลยคุณพ่อเองก็ไม่ได้มาคุยหรือมาสอนเรื่องการนั่งสมาธิกับเราด้วย
ที่ผ่านมาธรรมะจึงเป็นเรื่องไกลตัวมากไม่ใช่แค่มองไม่เห็นธรรมะนะคะ แต่เราไม่ได้มองเลยมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ธรรมะอยู่ใกล้ตัวเราตลอด แต่สิ่งผลักดันให้เริ่มสนใจธรรมะคงหนีไม่พ้น “ความทุกข์” นี่แหละ
ก้าวมาเป็นครูสอนโยคะ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เม้าท์ได้รู้จักกับความสงบ และมีส่วนทำให้เม้าท์ได้ไปปฏิบัติธรรมบ่อยขึ้นก็คือ ”โยคะ”
เม้าท์โชคดีที่มีเพื่อนดี ๆ และกัลยาณมิตรอยู่รอบตัว การมาเล่นโยคะเกิดจากการชักชวนของ ตุ๊ก – ชนกวนัน รักชีพ ตุ๊กเป็นเพื่อนที่น่ารักมาก เขาจะคอยชวนทำกิจกรรมโน่นนี่อยู่ตลอด มีช่วงหนึ่งเม้าท์ชอบนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ พอนั่งเล่นนาน ๆก็ปวดกล้ามเนื้อคอ ปวดหลัง ปวดมากจนทนไม่ไหว ตุ๊กก็เลยชวนไปเล่นโยคะร้อนซึ่งช่วงนั้นกำลังฮิตมาก เม้าท์จึงไปด้วย
เม้าท์เคยเล่นโยคะด้วยอีโก้ คือยิ่งเล่นแล้วยิ่งตัวตนใหญ่ ในใจคิดแต่ว่า ฉันจะต้องเล่นท่ายาก ๆ นี้ให้ได้ ฉันต้องโชว์ให้ทุกคนเห็นคนที่เดินเข้ามาในสตูดิโอต้องมอง เพราะฉันนี่แหละที่เก่งที่สุดในห้อง ช่วงนั้นเม้าท์หลงคิดว่าตัวเองเจ๋งมาก ท่าโยคะยาก ๆ ก็ทำได้หมด แล้วก็อยากอวดให้คนอื่นเห็นด้วย
พอได้เล่นโยคะไปเรื่อย ๆ แก๊งเพื่อนที่มาเล่นด้วยกันก็บอกว่า “พี่เม้าท์น่าจะเป็นครูนะ” ในใจก็คิดว่า จริงเหรอ เพราะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นครูได้เลย จนวันที่ได้มารู้จัก ครูพิมพ์ ซึ่งกำลังจะเปิดคอร์สอบรมครูโยคะที่โยคะสเปซ เมื่อได้ลองมาเล่นโยคะกับครูพิมพ์ รู้สึกว่าตัวเองคลิกกับครูคนนี้ แล้วอยู่ดี ๆ ครูพิมพ์ก็ยื่นใบสมัครคอร์สอบรมครูโยคะมาให้ แล้วบอกว่า “พี่เม้าท์ทำได้” จากนั้นเม้าท์ก็เรียนครบหลักสูตร ได้ใบประกาศและเป็นครูอย่างถูกกฎหมาย
การที่ได้มาเรียนกับครูพิมพ์ทำให้เข้าใจว่า โยคะไม่ได้เป็นเพียงการออกกำลังกายเพราะโยคะดั้งเดิมจริง ๆ นั้นเป็นเครื่องมือสู่ความสงบและปล่อยวาง การทำโยคะคือการทำให้ร่างกายอยู่ในท่าต่าง ๆ ได้อย่างสงบ เสถียร เบา สบาย แต่มั่นคง โดยไม่รู้สึกว่าเบาไปหรือหนักไป ซึ่งก็เหมือนเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน
นอกจากนี้ครูพิมพ์ยังใส่เรื่องจิตวิญญาณเข้าไปด้วย เช่น เน้นที่ลมหายใจให้ลองปล่อยทุกอย่างในใจจนเกิดความโล่งสบาย การมาเล่นโยคะจึงไม่ใช่เพียงออกกำลังกายให้เสียเหงื่อ แต่ยังได้การปรับบางอย่างในชีวิตด้วย
เมื่อได้เป็นครูสอนโยคะ เม้าท์จึงเข้าใจหัวอกคนที่เป็นครูและคนที่เป็นนักเรียนมากขึ้นเพราะในหนึ่งคลาสจะไม่ได้มีนักเรียนเก่ง ๆ ไปเสียหมด มีตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับแอดวานซ์ เราต้องมองว่านักเรียนเปรียบเป็นครูของเราเช่นกัน เพราะเราต้องเรียนรู้จากพวกเขา เพื่อออกแบบการสอนให้เหมาะกับแต่ละคน
ถึงจะผ่านการอบรมมาแล้ว พอมาสอนจริงก็ต้องนำประสบการณ์ของตัวเองมาใช้ด้วยที่สำคัญคือ เม้าท์ต้องฝึกให้หนักกว่าเดิมเพื่อให้เข้าใจร่างกายตัวเองและนำมาถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้
ทุกข์เพราะ “รัก”
จากที่เล่ามาเหมือนเม้าท์จะเป็นคนที่มีความสุข ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรแต่จริง ๆ แล้วเม้าท์มีความทุกข์ที่เกิดจาก “ความรัก” มาตลอด ซึ่งไม่ใช่เพียงความรักเชิงชู้สาวอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเป็นคนที่ถ้ารู้สึกดีกับใครจะทุ่มเททั้งกายและใจให้หมดแต่เมื่อทุ่มเทขนาดนี้ แล้วคนที่รับไม่โอเคกับสิ่งที่เราทำให้ก็จะตีอกชกหัวว่า ฉันทำอะไรผิดเกิดอะไรขึ้น และคิดมากจนฟุ้งซ่าน แค่เพื่อนไปสนิทกับเพื่อนอีกคนมากกว่าก็คิดมากจนทุกข์แล้ว
เม้าท์อาจมีลุคเป็นผู้หญิงที่มั่นใจ ดูแลจัดการชีวิตตัวเองได้ทุกอย่าง แต่เรื่องความรักเป็นเรื่องเดียวที่เม้าท์แพ้ทางมาตลอด โดยไม่รู้ตัวว่าเรากำลังทุกข์เพราะเรื่องนี้อยู่
ช่วงหนึ่งเม้าท์ถ่ายละครกับ พี่กิ๊ก – มยุริญผ่องผุดพันธ์ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรท่านหนึ่งที่ชวนไปพบสิ่งดี ๆ พี่กิ๊กคอยชวนว่า “อยากไปปฏิบัติธรรมกันไหมคะ พี่จะเอาใบสมัครมาให้ แล้วพี่กิ๊กก็จะคอยดูแลให้ทั้งหมดเลย” เม้าท์ก็สนใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะในใจจริง ๆ ไม่ได้อยากไป จนกระทั่งมีความทุกข์ขนาดที่ทนไม่ไหว จึงเริ่มคิดไปปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
จำได้ว่าพี่กิ๊กเคยให้ข้อมูลการปฏิบัติธรรมที่วัดผาณิตาราม ซึ่งเป็นคอร์สตามแนวของคุณแม่สิริ กรินชัย เม้าท์จึงเข้าไปดูตารางปฏิบัติตั้งแต่ช่วงต้นปี ปรากฏว่าคอร์สเต็มไปจนถึงอีกหลายเดือนข้างหน้า เม้าท์จึงตัดสินใจจองเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนเกิดของตัวเอง และมุ่งมั่นตั้งใจว่าต้องไปให้ได้ เพราะส่งใบสมัครไปแล้ว
พอถึงเวลาเม้าท์ก็ไปปฏิบัติธรรมตามวันที่สมัครไว้ จำได้ว่าคนเยอะมาก นั่งอยู่ในห้องกันเป็นร้อยคน เม้าท์เลือกไปนั่งหลังห้องตอนนั้นนั่งนานมากและเมื่อยมาก ทั้งยังฟังธรรมะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด พอถึงเวลากินข้าว ทุกคนก็ต้องเดินช้า ๆ เพราะต้องฝึกเจริญสติด้วยการกำหนดอิริยาบถไปด้วยเม้าท์ก็เดินช้า ๆ ตามเขาไปเท่านั้นเอง
วันแรกเม้าท์ตักข้าวมากินเยอะมาก พอมาเดินจงกรม นั่งสมาธิก็ง่วง และหลับ แต่พอวันหลัง ๆ ก็รู้สึกว่าเราเลิกคิดถึงเรื่องที่เราทุกข์ เพราะกลายเป็น “เบื่อ” แทน เบื่อมาก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยู่ได้จนครบ 7 คืน 8 วัน ถึงจบคอร์สจะรู้สึกว่าสงบดีนะ แต่ถ้าให้มาอีก ไม่มาแน่ ๆ
การที่มาปฏิบัติธรรมครั้งนี้เพราะคิดว่าถ้ามาปฏิบัติแล้ว ความทุกข์จะหายไป เราหลุดพ้นจากความทุกข์แน่นอน ซึ่งความจริงไม่เป็นแบบนั้น ออกมาจากวัดสองอาทิตย์แรกก็ยังทำตัวช้า ๆ เพราะคิดว่าคนปฏิบัติธรรมต้องสงบ ทำอะไรช้า ๆ ทีวีก็ไม่ดูด้วยนะสองอาทิตย์ผ่านไป กลายเป็นว่าตัวเองยังมีความทุกข์เหมือนเดิม
ที่เป็นอย่างนี้เพราะเรายังไม่เกิดปัญญายังคงเป็นบัวที่อยู่ใต้โคลนตม รากเน่าตรงไหนก็ไม่เห็น ยังโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย มีแต่ความคิดผิด มิจฉาทิฏฐิแต่กลับไม่รู้เท่าทัน
ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
ต่อมาเม้าท์ก็ได้มาเจอกัลยาณมิตรอีกคนหนึ่ง คือ เชอร์รี่ – เข็มอัปสร สิริสุขะ เชอร์รี่ไปปฏิบัติธรรมที่บ้านทิพวรรณที่หัวหินบ่อย ๆ และคงเป็นเพราะเหตุปัจจัยบางอย่างทำให้อยู่ดี ๆ เชอร์รี่ก็โทร.มาว่า
“พี่เม้าท์ ตอนนี้มีคอร์สปฏิบัติธรรม 5 วัน สนใจมาไหมคะ”
พอรู้ว่าคอร์สนี้เน้นการนั่งสมาธิ โดยไม่ได้เดินจงกรมก็สนใจ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบเดินจงกรม ชอบนั่งสมาธินิ่ง ๆ อาจเป็นเพราะโดยพื้นฐานเราชอบทำอะไรนิ่ง ๆ อยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปตามคำชวน แต่ช่วงที่ปฏิบัติก็ป่วยตลอด พอจะได้กลับบ้านกลับหายดี ทำให้ปฏิบัติได้ไม่เต็มที่นัก แต่ถึงอย่างนั้นเม้าท์ก็มีโอกาสไปนำฝึกโยคะให้ผู้ปฏิบัติธรรมด้วย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เม้าท์ก็ได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่อีก แล้วก็มีโอกาสได้นำโยคะให้ผู้ปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้มาช่วยนำโยคะที่นี่บ่อย ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะถ้าให้มาปฏิบัติอย่างเดียวอาจไม่รู้สึกอยากมาบ่อย แต่พอได้มาช่วยทำงานก็รู้สึกอยากมา พอได้มาเรื่อย ๆ ก็เริ่มได้เป็นผู้ช่วยวิทยากรแนะนำการปฏิบัติธรรม ถึงตรงนี้ก็คิดว่าต้องฝึกปฏิบัติให้ดีแล้วแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถแนะนำใครได้ เม้าท์จึงปฏิบัติมากขึ้น
ต่อมาเม้าท์มีโอกาสเข้าคอร์สเข้ม 10 วันได้เจอสภาวธรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง พอสอบถามอาจารย์ก็ได้คำตอบที่อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เราพบเจอ และเมื่อปฏิบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ ครูบาอาจารย์ก็บอกว่า เม้าท์มีกำลังสมาธิดี แต่สติยังอ่อน ตอนที่ฟังเม้าท์ก็แอบเถียงในใจตลอดว่า ไม่จริง เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทำเป็นรู้ทั้งที่ยังโง่เขลาอยู่
เม้าท์ชอบนั่งสมาธิมาก จนครูบาอาจารย์แนะนำให้ปรับอินทรีย์ คือต้องขยันกำหนดอิริยาบถ ลองไปกวาดพื้น ขัดห้องน้ำ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องนั่งนิ่ง ๆ ให้สติได้เคลื่อนไหว โดยมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องแรก ๆ ก็ไม่ค่อยชอบ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แต่ก็เห็นความเปลี่ยนแปลง คือสติจะไวขึ้นเมื่อมีอะไรมากระทบก็เห็นได้ไว ไม่ใช่กว่าจะรู้สึกตัวก็ข้ามวันข้ามคืน
เม้าท์ปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่งก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า แล้วในที่สุดก็มีเหตุปัจจัยนำพาให้ได้บวชเรียนอย่างจริงจัง
การเลือกเดินมาในเส้นทางธรรม ทำให้เม้าท์ได้เข้าใจตัวเองและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งยังเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เม้าท์ได้บวชถึงสามครั้ง
จากการที่ปฏิบัติธรรมมาเรื่อย ๆ เม้าท์เริ่มวิเคราะห์ตัวเองได้ว่า เราเป็นคนหลบหนีปัญหา คือเวลาที่เจอปัญหาหรือความทุกข์เม้าท์จะหนี แล้วปล่อยให้ปัญหาค้างคาอยู่อย่างนั้น จึงไม่ได้เรียนรู้และแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แต่กลับใช้กำลังของสมาธิกลบมันไว้ เม้าท์จึงชอบนั่งสมาธิ เพราะรู้สึกสุขสงบ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ๆ แต่พอถึงเวลาที่ใครมาทำสิ่งที่เราไม่ชอบ ก็จะไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัว เม้าท์จึงพยายามฝึกเจริญสติไปเรื่อย ๆ จนเห็นสิ่งที่มากระทบได้ไวขึ้น
ถึงวันที่อยากบวช
พอปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าจนรู้สึกว่า อยากบวช ซึ่งพอดีกับที่น้องซึ่งเป็นกัลยาณมิตรต่อกันขอลางานไปบวชชีเป็นเวลาสามเดือน เม้าท์จึงบอกน้องไปว่า “พี่ไปบวชเป็นเพื่อนนะ”
ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะในใจอยากบวชอยู่แล้ว พอไปขอคุณพ่อ ท่านก็ไม่ว่าอะไรแต่คุณแม่กลับเป็นห่วง กลัวว่าจะไปตกระกำลำบาก และกลัวว่าจะบวชไม่สึก ซึ่งเม้าท์เข้าใจแม่ แต่ก็ดื้อจะบวชให้ได้ เพราะตอนนั้นเราอยากบวชด้วยตัณหา อยากพ้นทุกข์ อยากไปนิพพาน ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วนิพพานคืออะไร
คุณแม่ทำใจอยู่สักพักจึงยอมให้บวชเม้าท์จึงได้บวชครั้งแรกในชีวิต โดยจัดพิธีโกนหัวและบวชชีที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์จากนั้นจึงไปปฏิบัติที่วัดนาหลวง จังหวัดอุดรธานี วัดนี้เป็นวัดป่า แม่ชีที่นี่ต้องทำกิจทุกอย่างเหมือนพระป่า ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารมื้อเดียว เดินจงกรม นั่งสมาธิบางคืนปฏิบัติจนไม่ได้นอนเลยก็มี แล้วแต่เราจะสมาทานไว้
การฝึกปฏิบัติที่นี่ค่อนข้างหนักและต้องใช้ความอดทนอย่างสูง ทุกคนต้องเดินจงกรมบนพื้นปูนซีเมนต์ เดินจนเท้าแตกก็ติดพลาสเตอร์แล้วเดินต่อ ถ้าฝนตกก็ถือร่มเดินเวลาที่อากาศหนาวก็มีเพียงผ้าผืนบาง ๆ ห่มไว้ทั้งการเดินจากกุฏิไปยังสถานที่ปฏิบัติก็ไกลมาก ส่วนเวลาบิณฑบาตเม้าท์ก็เลือกเส้นทางเดินระยะไกลที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ช่วงที่บวชเม้าท์รู้สึกว่าตัวเองสมาธิดีขึ้นมาก แต่ยังไม่เกิดปัญญานัก ตอนปฏิบัติหลวงปู่สอนให้ปฏิบัติโดยการยืนขาเดียวโดยสลับกันข้างละ 5 นาที แต่เราอัตตาเยอะคิดว่าตัวเองเก่ง จึงคิดในใจว่า “เดี๋ยวหนูยืนขาเดียวเลย 6 ชั่วโมง”
แล้วเม้าท์ก็ยืนขาเดียวอย่างนั้นจนครบ 6 ชั่วโมง โดยเป็นการยืนด้วยตัณหา ยืนด้วยการอยากเอาชนะ และคิดว่าตัวเองเก่งผลก็คือ ขาข้างนั้นพิการไปเลย และตอนนี้ก็ยังใช้การได้ไม่ปกติ
พอบวชครบ 3 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงเข้าพรรษาพอดี ตอนแรกตั้งใจจะบวชต่อไปอีก พอตัดสินใจได้แล้วก็รู้สึกว่าอยากเปิดโทรศัพท์มือถือมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดดูเลย พอเปิดโทรศัพท์ก็พบข้อความบางอย่างจากคนรัก ที่ทำให้เกิดความรู้สึกในทันใดว่า อยากสึกเดี๋ยวนี้
ในช่วงเวลานั้นเป็นฤดูฝนพอดี อากาศที่วัดนาหลวงทั้งชื้นและหนาวมาก เม้าท์จึงป่วยประกอบกับกำลังของใจยังไม่มีสติมากพอจะต่อสู้กับกิเลสตัวเดิม ซึ่งก็คือ “ทุกข์เพราะความรัก” ที่ทำให้เราทำใจไม่ได้ เม้าท์จึงขอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในตัวเมือง และขอครูบาอาจารย์สึกเพื่อกลับกรุงเทพฯเลย
หลังจากที่บวชได้ประมาณหนึ่งปี น้องคนเดิมที่เคยไปบวชด้วยกันก็จะไปบวชอีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน เม้าท์จึงได้ไปบวชกับน้องที่วัดนาหลวงอีกครั้ง การบวชครั้งที่สองนี้เม้าท์ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากขึ้นและปฏิบัติได้ดีขึ้นไปอีก
พอผ่านไปอีกหนึ่งปี เม้าท์มีโอกาสบวชเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้เกิดจากการไปช่วยงานที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยครูบาอาจารย์หลายท่านที่เคารพต่างก็บอกให้บวชอีกครั้ง เม้าท์เลยกราบเรียนอาจารย์ไปว่า “ถ้าแม่ให้บวช หนูก็จะบวชค่ะ”
พอกลับไปขอแม่ ท่านก็อนุญาต เม้าท์บอกแม่ว่า “ลูกจะบวชไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนจ้างไปทำงาน” ในวันสุดท้ายที่ไปช่วยงาน เม้าท์จึงโกนหัวบวช จากนั้นก็ไปปฏิบัติที่สถานปฏิบัติธรรมที่หัวหินที่ไปช่วยงานเป็นประจำอยู่แล้ว
การบวชครั้งที่สามนี้ เม้าท์บวชเป็นเวลา 28 วัน และได้คิดว่า บวชหรือไม่บวชก็ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าการบวชคือการเปลี่ยนเครื่องแบบ ซึ่งการมีเครื่องแบบช่วยคุ้มกันให้เราสำรวม แต่จริง ๆแล้วทุกอย่างอยู่ข้างในมากกว่าเข้าใจตัวเอง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เม้าท์คิดว่าใช้ชีวิตทางธรรมแล้ว แต่จริง ๆ มันยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทุกอย่างคงค่อย ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย จนต่อมาจึงเข้าใจว่า ทุกข์ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ใจของเราต่างหาก ทุกอย่างบนโลกนี้เป็นปกติของมันใจของเรานี่แหละที่ไม่ปกติ จึงเที่ยวไปข้องแวะไปยึดและเกาะเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นไว้ เพราะใจที่ปกติจะไม่ยึดอะไร
หลักการดำเนินชีวิตตอนนี้จึงเน้นที่การมีสติและมีความรู้ตัวอยู่ตลอด หากขาดสองสิ่งนี้แล้ว เราจะหลงคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นของเราและยึดมันไว้ แต่ถ้าเราทำอะไรก็แล้วแต่ด้วยความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราเราก็จะจากโลกนี้ไปด้วยความปล่อยวาง ซึ่งก็ต้องฝึกไปเรื่อย ๆ ให้ใจยอมรับ ให้ใจได้เห็นความเป็นจริง เพราะการยอมรับด้วยความคิดไม่เพียงพอ
เมื่อก่อนเม้าท์เคยทุกข์เพราะความรักแต่วันนี้กลายเป็นว่าเม้าท์ไม่โหยหาความรักแล้ว และกลับรู้สึกว่าเมื่อใดที่ใจเต็มไปด้วยความสุขที่แท้จริง เราก็สามารถแบ่งให้คนอื่นได้ เมื่อให้บ่อย ๆ เข้าก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เช่น เพื่อนหลายคนชอบโทร.มาหา แม้เม้าท์จะให้คำปรึกษาเขาไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นคนฟัง จนมีเพื่อนพูดว่า “เวลาที่เป็นทุกข์ จะนึกถึงเธอคนเดียว เพราะอยู่กับเธอแล้วสบายใจ”
ตอนนี้เม้าท์จึงเข้าใจคำว่า “รักแท้”ไม่ว่าจะเป็นกับคนรัก คนที่เคยรัก หรือแม้แต่พ่อแม่พี่น้องและเพื่อน ๆ เม้าท์ไม่มีรักที่เห็นแก่ตัวแบบเมื่อก่อน ความรักตอนนี้ไม่ได้เกิดจากตัณหาหรือกิเลส แต่เป็นรักที่เกิดจากเมตตา ส่วนสถานะกับคนรัก เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ได้คาดหวังอะไร ซึ่งกลับทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่าเดิม
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
แรก ๆ ที่ยังไม่เข้าใจธรรมะอย่างวันนี้เม้าท์คิดอยากตัดขาดจากทางโลก คิดว่าชื่อเสียงเงินทองทำให้จิตใจของเรามัวหมองถึงขั้นที่จะไม่ยอมทำงาน จะอำลาวงการมาเอาดีทางธรรมเลย แต่พอศึกษามากขึ้นก็รู้ว่าเรามาทางนี้ด้วยตัณหา มาเพราะมีเรื่องที่อยากจะหลุดพ้นไปสักที เม้าท์จึงคิดใหม่ว่าไหน ๆ เราเกิดมาแล้ว มีหน้าที่อะไรก็ทำไปให้ดีที่สุด ถ้าเบื่อก็ให้มีสติรู้ว่า ความเบื่อเป็นอารมณ์ เป็นตัณหา พอเข้าใจ อยู่ตรงไหนก็อยู่ได้หมด ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สงบ ไม่พูดจากับใคร เพราะสำหรับเม้าท์ ธรรมชาติคือความปกติ และธรรมะก็คือความปกติเช่นกัน
การได้ทำงานในวงการบันเทิงทำให้เม้าท์ได้ข้อคิดว่า “ทุกอย่างไม่เที่ยง” เมื่อคลื่นลูกเก่าไป ก็มีคลื่นลูกใหม่มา ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีความเสื่อมเป็นธรรมดา ต่อให้เราประสบความสำเร็จ มีงานดังเปรี้ยงปร้าง สุดท้ายแล้ววันหนึ่งก็ไม่มีงานเพราะฉะนั้นต้องไม่ประมาท อย่าหลงคิดว่าทุกอย่างจะแน่นอน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องออกจากจุดนี้ไปตอนไหน จึงต้องทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ทำเต็มที่ที่สุด แล้วจะไม่เสียใจภายหลัง
ความทุกข์ถือเป็นเหตุปัจจัยให้เม้าท์ได้ก้าวสู่เส้นทางธรรม ได้เรียนรู้ธรรมะจนเข้าใจธรรมชาติของชีวิต จุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตตอนนี้คือ การไม่เกิด ซึ่งต้องใช้เวลาสะสมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น
ที่มา: นิตยสาร SECRET
เรื่อง: เบญจวรรณ เทิดทูลกุล เรียบเรียง: เชิญพร คงมา ภาพ: วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ: ธนทัช หิรัญวรกุล สไตลิสต์: ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ ผู้ช่วยสไตลิสต์: ศุภกานต์ ขวัญแก้ว แต่งหน้า-ทำผม: ภูดล คงจันทร์
ขอขอบคุณสถานที่ : Crystal Design Center (CDC) โทร. 0-2101-5999
เสื้อผ้า : Fly Now III สยามเซ็นเตอร์ ชั้น 3
บทความน่าสนใจ
ชีวิตนี้ที่เลือกเอง ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง
รักแท้ไม่แพ้โชคชะตา ตี้ สมเจตน์ เจริญวัฒน์อนันต์
เมื่อทำนองธรรม กระทบใจ แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม ตอนที่ 1
ชีวิตวัยเด็กที่ไม่เคยยอมแพ้ ของ ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด
หนุ่ม กะลา กับช่วงเวลาที่พบธรรม จากวันที่ทุกข์ถึงวันที่ซึ้งธรรม
ชีวิตคือสิ่งสมมุติของ ดา ชฎาพร รัตนากร
“ อุ้ยอ้าย ชฎาธร แดงใส ” ในวันร้าย และวันใหม่ที่ขอลิขิตเอง
ดำเนินชีวิตด้วยหลักคิดของธรรมะ หลิน - มชณต สุวรรณมาศ
เสียรู้ ออนไลน์ เกือบตายทั้งเป็น เรื่องจริงของผู้หญิงที่ถูกหลอก