ก่อนเข้าวงการชีวิตของภัทรวดี ปิ่นทอง หรือที่ผู้ชมรู้จักกันดีในชื่อของ หนูเล็ก ก่อนบ่าย ไม่ได้สนุกสนานและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเหมือนกับการแสดงของเธอ
ภาพความลำบากของพ่อแม่ที่ต้องต่อสู้กับความยากจนยังคงฝังลึกในใจ และทำให้เสียน้ำตาเสมอเมื่อหวนคิดถึง เรียกได้ว่าความสุขในวันนี้เธอต้องแลกมากับน้ำตาในวันวาน แต่เพราะใจที่ตั้งมั่นในทางกตัญญู
ความทรงจำย้ำเตือนใจ
ตั้งแต่เกิดหนูก็รู้ว่าครอบครัวของหนูยากจน บ้านของหนูอยู่ที่อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา หนูเกิดมาเป็นลูกหลงคนสุดท้อง มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ซึ่งอายุห่างกันมาก แม้ตอนเด็กๆ ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตลำบากมากนัก เพราะมีพ่อแม่พี่น้องคอยดูแลช่วยเหลือ แต่ก็รู้ว่าพ่อแม่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
พ่อหนูมีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนแม่รับจ้างทำนาและทำงานสุจริตทุกอย่าง ตอนเล็ก ฃๆ หนูตามแม่ไปทำงานเสมอ ไปนั่งดูแม่เกี่ยวข้าว ถอนหญ้าในบ่อกุ้ง เห็นแม่ทำงานจนเลือดอาบมือทุกวัน พออยู่ชั้น ป.3 ก็ขอไปช่วยแม่ทำงาน ไปถอนหญ้าในบ่อกุ้งกว้างหลายไร่ ได้ค่าจ้างบ่อละ 50 บาท
หนูอยู่ใกล้ชิดกับแม่ ได้เห็นความลำบากและการเสียสละของแม่มาตลอด ปกติบ้านเราหาผักตกปลามาทำอาหาร ถ้าวันไหนได้ปลามาแค่ตัวเดียว แม่ก็แบ่งเนื้อปลาให้พ่อและลูก ๆ กินก่อน ส่วนแม่กินเพียงน้ำแกงเท่านั้น วันไหนหาผักหาปลาไม่ได้ แม่จะไปหักกิ่งไม้มา เอากะปิพอกแล้วย่างให้หอม จากนั้นก็ดึงมากินกับข้าวสวย
ครอบครัวของเราได้กินแต่อาหารแบบนี้ ส่วนอาหารดี ๆ หรือพวกก๋วยเตี๋ยว ไม่เคยได้กินกันเลย เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อ
เรื่องหนึ่งที่จำได้ดีและนึกถึงเมื่อไหร่ก็สงสารแม่จับใจคือวันหนึ่งหนูตามแม่ไปขายขนมต้มที่งานวัด ซึ่งต้องเดินจากบ้านประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง พอไปถึงที่วัดเรากลับไม่มีที่นั่งขาย เพราะคนที่มาถึงก่อนจับจองที่กันไปหมดแล้ว แม่จึงต้องไปนั่งตรงบันไดทางเดินขึ้นวัด คนเดินผ่านไปผ่านมาก็มอง แต่ไม่มีใครซื้อขนมของแม่เลย
หนูช่วยอะไรแม่ไม่ได้ ได้แต่คิดในใจว่า โตขึ้นมาต้องหาเลี้ยงแม่ให้ได้ จะไม่ยอมให้แม่มานั่งเหมือนขอทานอย่างนี้อีกแล้ว
พอไปโรงเรียนหนูยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างตัวเองกับเพื่อน หนูไม่เคยมีชุดนักเรียนหรือรองเท้าคู่ใหม่ ทุกอย่างได้รับมาจากคนอื่นทั้งหมด แล้วแต่ใครจะให้มา บางปีต้องใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่โคร่งเลยก็มี ปีไหนโรงเรียนแจกเสื้อกระโปรงใหม่จะดีใจมาก เพราะจะได้มีชุดใหม่ใส่กับเขาบ้าง
หนูมีรองเท้านักเรียนใหม่เอี่ยมคู่แรกตอนอยู่ ป.6 ตอนนั้นพี่สาวซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลเริ่มมีรายได้ จึงซื้อรองเท้านักเรียน PS Junior มาให้ หนูดีใจมาก เอามานอนกอดอยู่สามคืน พอใส่เสร็จก็ต้องเช็ดให้สะอาดเหมือนใหม่ทุกครั้ง หลังจากนั้นพี่ชายอีกคนซึ่งไปทำงานก่อสร้างก็ซื้อรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลมาให้ เพราะเห็นว่าหนูไม่เคยมีรองเท้าดี ๆ ใส่มาก่อน
นี่เป็นเรื่องที่ประทับใจหนูมาก ไม่ว่าเล่าให้ใครฟังเมื่อไหร่ก็ร้องไห้เสมอ
พี่น้องของหนูส่วนมากเรียนจบกันแค่ ป.4 หรือ ป.6 แล้วก็เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ แต่หนูอยากเรียนให้สูงกว่านั้น เพราะอยากทำงานดี ๆ มีเงินเยอะ ๆ มาดูแลครอบครัว ตอนเด็กแม้จะเรียนไม่เก่งแต่ก็ขยัน คือขยันทำการบ้าน ขยันไปถามครู เพราะรู้ว่าสอบตกไม่ได้ ไม่อยากให้พ่อแม่อายที่ลูกเรียนไม่ดี
เรื่องที่โดดเด่นในตอนที่เรียนคือหนูกล้าแสดงออก จึงได้ทำกิจกรรมโรงเรียนทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นนางรำ ดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ ร้องเพลง ครูเห็นว่ามีแววก็สนับสนุน โดยเฉพาะการร้องเพลง หนูฝึกจนเก่ง ไปประกวดเวทีไหนก็ได้รางวัลตลอด
แม่เห็นหนูมีความสุขกับการทำกิจกรรมก็พยายามสนับสนุน บางงานมีชุดมาให้ฟรีก็ดีไป แต่งานไหนต้องเช่าชุดซื้อชุด แม่ก็เจียดเงินมาให้
แต่มีครั้งหนึ่งที่แม่ไม่มีเงินเลย จึงแอบขโมยข้าวที่พ่อเก็บไว้ให้ลูก ๆ กินไปขายหนึ่งกระสอบเพื่อเอาเงินมาเป็นค่าชุด ค่าดอกไม้ติดผม เพราะเห็นหนูได้ทำกิจกรรมทุกปี พอหนูรู้ก็น้ำตาซึม สงสารแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก
ตอนแรกหนูคิดว่าจะเรียนถึงแค่ ม.3 กะว่าเรียนจบแล้วจะไปทำงานเมืองนอกเพราะได้ยินมาว่าได้เงินเยอะ หนูอยากไปทำงานเก็บเงินส่งมาให้พ่อแม่เพื่อนำไปใช้หนี้ให้หมด แต่พอเรียนถึง ม.3 หนูก็รู้ว่าวิชาความรู้เท่านี้คงไม่พอ จึงขอเรียนต่อจนจบ ปวช. พอจบแล้วก็ปรึกษาพี่ ๆ ว่าอยากเข้ามหาวิทยาลัย
พี่ ๆ หลายคนบอกว่าเรียนพอแล้ว ออกมาทำงานรับจ้างเย็บผ้าด้วยกันดีกว่า แต่หนูคิดว่าถ้าหยุดเรียนตอนนี้คงไม่มีปัญญาไปทำงานต่างประเทศแน่นอน พ่อจึงส่งให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะมีพี่น้องคอยดูแลหลายคน หนูก็มาสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และเลือกเรียนด้านการตลาดเพราะชอบเรื่องค้าขาย
ลำบากไม่มีข้าวกิน
ตอนที่มาเรียนมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิต ปีแรกหนูอยู่กับพี่สาวคนหนึ่ง อยู่ไปสักพักก็รู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ เพราะหนูสมาธิสั้น ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยก็อ่านหนังสือไม่ได้ แล้วพี่กำลังมีลูกเล็ก มีเสียงดังตลอด จึงขอย้ายไปอยู่หอกับเพื่อน
พอออกมาอยู่เองก็ต้องทำงานหาค่าที่พัก หนูทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนด้วยการเป็นพนักงานแคชเชียร์ที่โลตัส ได้เงินชั่วโมงละ 25 บาท ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็ได้เงินวันละ 100 บาท หักค่ารถแล้วเหลือใช้วันละ 70 บาท แม้ไม่ได้ทำทุกวัน เพราะบางวันเลิกเรียนดึก แต่อย่างน้อยก็มีรายได้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ช่วงนั้นหนูร้องไห้ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่คิดถึงพ่อกับแม่มาก กลับถึงหอก็ต้องมาคุยกับรูปพ่อแม่ให้หายคิดถึง เวลาทำงานถ้าหนูเห็นใครพาพ่อแม่มาเดินเที่ยว จะคิดในใจว่าสักวันหนึ่งฉันต้องพาพ่อแม่มาเดินห้างเหมือนกับคนอื่นเขาให้ได้
นอกจากเป็นพนักงานแคชเชียร์แล้ว หนูยังทำงานพิเศษทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ งานเสิร์ฟงานขายไม่เคยเกี่ยง ต่อมาหนูหาลู่ทางเพิ่มรายได้ด้วยการไปขายเสื้อผ้ามือสองของตัวเองที่ตลาดนัดหลังมหาวิทยาลัย วันแรกขายดีมาก ได้เงินมา 1,500 บาท ดีใจมากรีบโทร.ไปบอกพ่อว่าจะโอนเงินไปให้ พ่อบอกว่าให้เก็บไว้ใช้ แต่หนูอยากให้พ่อมากกว่าจึงโอนไปให้ท่านทั้งหมด
ถึงหนูทำงานพิเศษหลายงาน แต่รายได้ก็ไม่พอเก็บเป็นค่าเทอมอยู่ดี เพื่อนจึงแนะนำให้กู้เงินเรียน ตอนแรกหนูยังไม่อยากกู้ เพราะเห็นพ่อแม่เป็นหนี้แล้วเป็นทุกข์ แต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะถ้าไม่กู้ก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่าเทอม
ปัญหาเงินไม่พอใช้หนูเจอจนชาชิน แต่ก็ไม่คิดจะยืมเงินใคร เพราะไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน จึงประหยัดทุกอย่างแม้แต่ค่ากิน ตอนกลางวัน เพื่อนชวนไปกินข้าวที่โรงอาหาร หนูต้องแกล้งบอกเพื่อนว่า “เราลืมหนังสือเรียนไว้ที่หอ ขอกลับไปเอาหนังสือก่อนนะ แล้วเจอกันที่ห้องเรียน” จากนั้นก็แอบไปกินน้ำเปล่าประทังความหิวทั้งเช้าและกลางวัน เพราะต้องเก็บเงินใช้ให้พอถึงวันเงินเดือนออก
หนูใช้ชีวิตแบบอดอยากอยู่สองปี จนวันหนึ่งก็ได้พบโอกาสที่พาไปสู่การทำงานในวงการบันเทิง หนูจึงสู้สุดใจแม้ไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นอย่างไร
กดเลข 2 อ่านต่อเลยค่ะ