เรื่องจริงของ โชเฟอร์แท็กซี่กับ อาชีพเสริมสีเทา
ในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนไม่ได้มีแค่อาชีพเดียว คนที่รับราชการตกเย็นบางคนก็มี อาชีพเสริม มาขับแท็กซี่รับจ้างเหมือนผม ส่วนบางคนกลางวันทำงานออฟฟิศ กลางคืนไปเป็นดีเจเปิดแผ่นอยู่ในผับก็มี แต่สำหรับอาชีพเสริมของผม ถ้าใครได้รู้เป็นต้องร้องถามด้วยความสงสัยสารพัด
“โหพี่…ไม่กลัวตายหรือไง นี่พี่เป็นนักเลงหัวไม้มาก่อนหรือเปล่า” บางคนก็ว่า “พี่ไม่กลัวบาปกลัวกรรมบ้างหรือ ของของใคร ใครก็รัก” บ้างก็แสดงอาการเป็นห่วง “ไม่มีอาชีพเสริมอย่างอื่นให้ทำแล้วหรือไง ทำอาชีพอย่างนี้เสี่ยงตายชัด ๆ”
เอ่อ…ตอบคำถามแรกก่อนแล้วกันนะครับ กลัวตายน่ะ ผมก็กลัวไม่ต่างจากทุกคนนั่นแหละครับ แต่ทำไงได้ ผมจากบ้านที่อุบลราชธานีเข้ามาต่อสู้ชีวิตในเมืองกรุง แรก ๆ ก็มาช่วยขับรถส่งคนงานก่อสร้างให้ลุงที่เป็นผู้รับเหมา หลังจากนั้นก็ขับรถให้เจ้านายที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ ทำไปทำมาเกิดเบื่อ เลยลาออกมาเป็นคนส่งเอกสารที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กระทั่งวันหนึ่งพี่ชายที่ขับแท็กซี่ก็ชวนเข้าสู่ “วงการสีเทา” นี้
ผมเองไม่เคยเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อน ใครเห็นก็คงคิดอย่างนั้น เพราะผมตัวเตี้ย แต่ใคร ๆ ก็มักจินตนาการว่าคนทำอาชีพแบบผมต้องเป็นนักเลง สมัยก่อนผมยอมรับว่ามีจริง มีเยอะ แต่ยุคนี้เราสั่งสอนกันมาว่าต้องทำงานด้วยความนุ่มนวล รวดเร็ว ไม่มีการลงไม้ลงมือเด็ดขาด แต่ส่วนใหญ่ “อุบัติเหตุ” ที่เกิดจากการทำงานของพวกเราก็มาจากลูกค้าเสียมากกว่า
ส่วนเรื่องกลัวบาปกลัวกรรมไหม ผมคิดว่าผมทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ สิ่งที่ผมทำแม้บางครั้งดูเหมือนจะไปแย่งชิงเอามาแต่เราก็บอกก็เตือนเขาล่วงหน้า ทั้งส่งจดหมาย โทร.ไปคุย ไปพบหน้า และเจรจากับเขาดี ๆ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่อยากคุยกับผม เห็นหน้าแล้วผวา หรือไม่ก็บันดาลโทสะเกินกว่าจะยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นคนผิดข้อตกลงที่ให้ไว้
ผมมีลูกสาว 3 คน หลังจากแยกทางกับแม่ของลูก เมียผมก็พาลูกไปอยู่ต่างจังหวัด ลูกรู้แต่เพียงว่าผมมีอาชีพขับรถแท็กซี่ ไม่รู้ว่าผมมีอาชีพเสริมที่ไม่เหมือนใคร ใจจริงผมก็ไม่อยากให้พวกเขารู้ เพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง หลายคนคงคิดว่าอาชีพเสริมมีตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำงานเสี่ยงตายแบบนี้เลย คิดแบบนี้ก็ถูกครับ แต่บังเอิญว่าผมเรียนมาน้อยอาชีพที่จะทำเงินดี ๆ เดือนละ 30,000 –50,000 บาทแบบนี้ไม่ได้หากันง่าย ๆ และที่สำคัญ เมื่อเดินเข้ามาในวงการนี้แล้วก็มักจะติดใจ วันนี้ผมยอมรับว่ารู้สึก “รักในงานที่ทำ” เพราะมีความสนุก ท้าทาย นอกจากจะต้องรู้จักพลิกแพลงทำงานให้สำเร็จโดยไม่ต้องทำร้ายใครแล้ว ยังต้องรู้จักรักษาตัวให้รอดปลอดภัยด้วย
ทุกวันนี้ผมเป็นหัวหน้างาน มีลูกน้อง 13 คน ทั้งหมดมีอาชีพหลักเป็นคนขับแท็กซี่เหมือนผม พวกเราทำอาชีพเสริมที่เรียกอย่างสวยหรูว่า “แผนกติดตามและยึดรถ” เมื่อไหร่ก็ตามที่คนขับแท็กซี่ที่ไปเช่าซื้อรถกับสหกรณ์แท็กซี่ค้างค่าผ่อนส่งเกิน 3 งวด งานของพวกเราก็จะเริ่มต้นทันที ส่วนจะดุเด็ดเผ็ดมันถึงเลือดถึงเนื้อขนาดไหน ผมจะเล่าให้ฟัง…
ตอนเข้าวงการใหม่ ๆ ผมก็เป็นแค่เด็กฝึกงานคอยตามรถเป้าหมายตามที่หัวหน้าสั่ง แต่ทุกวันนี้ผมเป็นหัวหน้า นอกจากจะลงพื้นที่ทำงานเองแล้ว ยังมีหน้าที่จ่ายงานของสหกรณ์แท็กซี่ให้ลูกน้องด้วย
ช่วงแรกของการทำงาน มีเรื่องราวข่มขวัญผมอยู่เสมอ ๆ ที่ร้ายแรงที่สุดน่าจะเป็นข่าวเพื่อนร่วมอาชีพถูกยิงตาย ผมไม่ได้รู้จักคนขับแท็กซี่คนนี้เป็นการส่วนตัว มารู้ข่าวเขาอีกทีก็เมื่อมีการเล่ากันปากต่อปากว่า เขาไปตามยึดรถของคนขับแท็กซี่คนหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยเป็นทหารพรานมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าคุยกันท่าไหน สุดท้ายอีกฝ่ายก็ปิดการเจรจาด้วยลูกปืน คนหนึ่งตาย คนหนึ่งติดคุกไปตามระเบียบ ได้ยินแล้วผมได้แต่เตือนใจตัวเองว่าต้องระวังตัวรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง แต่ประสบการณ์บางครั้งก็สอนให้ผมรู้ว่า “เรื่องเหนือการควบคุม” เกิดขึ้นได้เสมอ พวกเราทำงานกันเป็นทีม ทีมละ 3 คน คนหนึ่งเจรจาอีกสองคนทำหน้าที่ขับรถแท็กซี่ประกบหน้าประกบหลังและคอยช่วยเหลือกัน
ลูกน้องที่ผมเลือกมาทำอาชีพนี้ต้องมีไหวพริบดีเป็นพิเศษ ต้องหูไวตาไว รู้จักช่างสังเกต ถ้ามีแท็กซี่วิ่งอยู่ข้างหน้าต้องตอบให้ได้ว่า รถสีนี้เป็นของสหกรณ์ไหนประวัติรถเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ต้องรู้จักระแวดระวังตัว ขนาดผมเองเวลาจะไปกินข้าวตามร้านอาหารยังต้องนั่งหันหน้าออกด้านนอกทุกครั้ง เพื่อจะได้เห็นทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านได้ถนัดถนี่ แม้แต่ชื่อก็ยังต้องใช้นามแฝง ในบริษัทของผมเราตั้งชื่อพนักงานว่า “ตี๋” ไว้สามตี๋ มี “ตี๋ใหญ่ ตี๋อ้วน ตี๋เล็ก” ทั้งที่ชื่อเล่นของเราเป็นอีกอย่าง เพื่อไว้ลวงลูกค้าที่คิดจะเข้ามาทำร้าย
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
วิธีการทำงานของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “เจ๊” เจ้าของอู่หรือสหกรณ์แท็กซี่แจ้งมาว่ามีแท็กซี่ผิดนัดจ่ายค่างวดรถเกิน 3 งวด ผมก็จะสั่งลูกน้องให้ไปเจรจาสอบถามว่าเขาจะสามารถจ่ายเงินได้วันไหน ถ้าไม่สามารถมาจ่ายได้ภายใน 10 วัน ทางบริษัทก็จะออกหนังสือมอบอำนาจให้ผมยึดรถจากนั้นผมก็จะสั่งลูกน้องให้ตามยึดรถคันดังกล่าว โดยปกติถ้าเจรจาแล้วลูกค้ายอมคืนรถให้แต่โดยดีเรื่องก็จบ แต่ถ้าไม่…เราก็จำเป็นต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด!
มาตรการขั้นเด็ดขาดที่ว่าคือ เรียกรถยกมายกแท็กซี่ไปคืนบริษัท หรือไม่ก็ล็อกล้อไว้ก่อนแล้วค่อยมาขับกลับทีหลังโดยจะโทร.แจ้งให้ตำรวจที่อยู่ สน.ใกล้ที่สุดรับทราบ เพื่อจะได้ไม่มาฟ้องร้องกันทีหลัง ส่วนแท็กซี่บางคันที่ขับหนี เราใช้มาตรการตัดสัญญาณที่ติดตั้งไว้ในรถ มีผลทำให้รถกระตุกและไปต่อไม่ได้ จากนั้นค่อยเข้าไปล็อกรถคันนั้นไว้ หรือบางครั้งเราอาจใช้วิธีการที่นุ่มนวลด้วยการปลอมตัวเป็นผู้โดยสารไปโบกรถแท็กซี่เป้าหมาย เพื่อลวงให้ไปส่งรถคืนยังสหกรณ์ พอถึงที่หมายเราก็แสดงตัวขอยึดรถ แต่บางครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะลูกค้าทุกคนเมื่อทราบว่าเราเป็นใคร ก็มักจะตกใจ ไม่พอใจ และอาจถึงขั้นใช้กำลังทำร้ายเหมือนที่ผมเคยเจอกับตัวมาแล้ว
คืนนั้นผมต้องไปยึดรถแท็กซี่คันหนึ่งจากลูกค้าแถววิภาวดี เนื่องจากลูกค้าผิดนัด ไม่ส่งค่างวดรถมาหลายงวด และผัดผ่อนจนมาถึงกำหนดที่ต้องยึดรถในวันนั้น ผมสั่งให้ลูกน้องขับรถที่ยึดได้มาส่งคืนที่บริษัท ส่วนผมขับรถของตัวเองตามไป เมื่อถึงบริษัทปรากฏว่า แท็กซี่คนนั้นระดมพรรคพวกตามมาด้วยสิบกว่าคน เขาโมโหและพูดจาด้วยอารมณ์เลือดขึ้นหน้า
“กูขอมึงแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหม พรุ่งนี้ก็จะมาเคลียร์ให้แล้ว มึงทำแบบนี้ได้ไง”
ตอนนั้นผมได้แต่ทำใจดีสู้เขาแล้วตอบไปว่า “พี่ครับ ผมทำตามหน้าที่ พี่ผิดนัดแล้วไม่มาเคลียร์กับเจ๊สักที ทางเจ๊ก็เลยให้ผมมาตามรถ พอผมเจอรถ ผมก็ต้องเอากลับมาคืนเขา”
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนั้นแม้ว่าผมจะพูดดีสักแค่ไหน แต่ในเมื่อสิ่งที่ผมพูดแปลความได้ว่าผมต้องยึดรถเขาอยู่ดี เขาก็ยิ่งเดือดดาลถึงขีดสุด ยิ่งมีพรรคพวกมาให้กำลังใจกันมากมายด้วยแล้ว นาทีนั้นผมรู้ชะตากรรมของตัวเองกับลูกน้องดี ถ้าไม่เจ็บก็คงตาย เพราะแต่ละคนที่มาหน้าตาขึงขัง เมื่อเห็นว่าการเจรจาไม่ได้ผลแล้ว พรรคพวกของเขาก็เข้ามาตะลุมบอนพวกผม ทั้งมือไม้และท่อนเหล็กกระแทกใส่กันไม่ยั้ง คนที่โชคร้ายที่สุดเห็นจะเป็นผม เพราะถูกมีดจากมือใครสักคนกะซวกเข้ามาที่ชายโครงมีดฝังลึก เลือดผมทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก โชคดีที่ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นตำรวจก็เข้ามาระงับเหตุ ผมจึงรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องไปนอนหยอดน้ำเกลือในโรงพยาบาลนานเป็นเดือน
เรื่องเจ็บตัวของผมยังไม่จบแค่นี้ครั้งหนึ่งผมตามไปยึดรถ ใจหมายจะใช้วิธีที่ละมุนละม่อมที่สุด จึงเข้าไปนั่งเจรจากับลูกค้าในรถแท็กซี่ของเขา แต่การเจรจาครั้งนั้นไม่สำเร็จ ลูกค้าพยายามจะขับรถหนี จังหวะนั้นผมจึงดึงเบรกมือเพื่อหยุดรถด้วยความโมโห เขากระแทกท่อนเหล็กลงบนมือของผมจนเลือดอาบ ผมพยายามประคองสติพูดกับเขาว่า “พี่ยังจะเอารถไว้หรือเปล่า ถ้าเอาก็ไม่ต้องทำขนาดนี้ แต่ถ้าไม่เอาก็เต็มที่เลยละกัน” พอเขาเห็นเลือดแดง ๆ ของผมก็เริ่มคิดได้ เพราะแม้ผมจะยึดรถไปแล้ว แต่ถ้าเขาตามมาขอชำระหนี้ภายใน 20 วันทุกอย่างก็จบ และเขาก็ยังมีรถไว้ทำมาหากินต่อไป คราวนั้นแม้ผมจะเจ็บตัว แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไร เพราะที่เสี่ยงตายกว่านี้ก็เคยมาแล้วเรื่องทำร้ายร่างกายจนได้เลือดนี่ถือว่าธรรมดา
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เคยประมาท ผมรู้ว่าชีวิตตัวเองไม่แน่นอนจึงทำประกันชีวิตไว้ เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาลูกจะได้ไม่ลำบาก ส่วนทางสหกรณ์ที่ผมทำงานให้ก็สัญญาว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม เขาจะส่งเสียลูกทั้งสามคนให้เรียนจนจบปริญญาตรีและด้วยความรักตัวกลัวตายที่เริ่มมีมากขึ้นตามอายุ ผมจึงพยายามเปลี่ยนวิธีการทำงาน จากที่ต้องไปบู๊อยู่ภาคสนาม ก็หันมาทำงานด้านเอกสารในออฟฟิศมากขึ้น คอยจ่ายงานให้ลูกน้อง และคอยตามไปเฝ้าดูการทำงานของพวกเขาบ้างนาน ๆ ครั้ง
ผมรู้ดีว่าคงไม่สามารถฝากชีวิตไว้กับอาชีพสีเทานี้ได้ตลอดไป ผมตั้งใจว่าจะทำงานไปอีกสักระยะ พอเก็บเงินเก็บทองได้สักก้อน ผมก็จะนำไปลงทุนทำอพาร์ตเมนต์หรือเปิดอู่ให้เช่าแท็กซี่ ทุกวันนี้ผมมีรถแท็กซี่ให้เช่า 3 คัน ซึ่งก็พอจะทำให้ผมมีเงินเก็บและวาดฝันถึงอนาคตที่สวยงามได้
…แม้จะเป็นอนาคตที่ต้องแลกกับการเสี่ยงตายทุกวินาทีก็ตาม
คำแนะนำจากท่าน ว.วชิรเมธี
“คนที่จะทำอาชีพนี้ต้องมีคุณธรรมประจำใจ หนึ่ง ต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของคนที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่าไปคิดว่าเขาติดหนี้ติดสินแล้วคุณค่าความเป็นมนุษย์จะต่ำกว่าเรา ต้องประเมินเขาให้สูงเท่า ๆ กับเรา จะทำให้เรามีท่าทีต่อเขาแบบโอนอ่อนผ่อนปรน
สอง ใช้ความเมตตาเป็นน้ำเชื่อมในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขา ไม่ใช้ความรุนแรง ใช้เหตุใช้ผลบนพื้นฐานของการเอาใจเขามาใส่ใจเรา นั่งคุยกับเขาอย่างกัลยาณมิตรที่สำคัญ สิ่งที่เขาประสบอยู่ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราก็อาจประสบด้วยเหมือนกัน
สาม หลีกเลี่ยงการทำร้ายชีวิตเพื่อนมนุษย์ เรารักชีวิตฉันใด คนอื่นก็รักชีวิตฉันนั้น การใช้ความรุนแรงไม่ควรเป็นทางเลือกในทุกกรณี ให้ใช้สันติวิธีทุกครั้งในการทำหน้าที่ของตนสี่ ใช้ปิยวาจา คำพูดดี ๆ เปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นปาฏิหาริย์มาแล้วทั่วโลก อย่าใช้วาจาดูถูกดูหมิ่นเหยียบย่ำเพราะบางครั้งความทุกข์ที่เขามีก็มากเกินจะแบกรับไหวอยู่แล้ว ถ้าเราใช้วาจาซ้ำเติม เขาอาจจะเจ็บใจจนคิดฆ่าตัวตายได้ ให้ระวังคำพูด ถ้าพูดเป็นก็ทำให้ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ”
เรื่อง ตี๋อ้วน เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด แบบ บี, โบซ, เป้ (ภาพเหตุการณ์จำลอง)
Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/