เชน ธนา กับเบื้องหลังความสำเร็จ
เชน ธนา กับเบื้องหลังความสำเร็จ
ลูกชายนอกกงสี
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวคนจีนแท้เหล่ากงหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ บ้านของเราอยู่ที่นครปฐม ทำโรงงานสิ่งทอซึ่งเป็นธุรกิจกงสี แต่ละครอบครัวในตระกูลมีลูกเพียงสองคนเท่านั้น เพราะแต่ละบ้านจะได้งบเท่ากัน แต่ผมเป็นลูกหลงที่เกิดมาเป็นลูกชายคนที่สาม จึงรู้สึกว่าเมื่อโตขึ้นคงไม่อาจพึ่งงบของครอบครัวได้จึงพยายามหาลู่ทางดูแลตัวเองมาตลอด
เดินตามหนึ่งความฝัน
ตอนที่เข้าไปคุยกับ RS ผมบอกว่าอยากทำงานด้านการแสดง อยากเล่นละครจึงได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดง กำลังจะได้เล่นละครกับค่ายเรดดราม่า แต่พี่แดงซ่า(นพดล มงคลพันธ์) ผู้บริหารค่ายละครเสียชีวิต ค่ายจึงปิดตัวไป จากนั้นผมถูกเรียกตัวเข้ามาเพื่อเป็นนักร้องในวง Nice 2Meet U ซึ่งฟอร์มวงกันมาก่อนหน้านี้เป็นปีแล้ว
เริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่วัยรุ่น
ช่วงที่ออกอัลบั้ม ผมได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าชิ้นหนึ่ง ได้ค่าตัวมา 5 แสนบาท ผมให้แม่ 2 แสน เก็บไว้ใช้จ่าย 1 แสน และอีก2 แสนนำมาลงทุนทำธุรกิจโดยที่ไม่มีความรู้อะไรเลย ผมใช้เงินก้อนนั้นซื้อตั๋วเครื่องบินไปเกาหลี แล้วเลือกซื้อเครื่องเขียนและของกระจุกกระจิกน่ารัก ๆ ที่ไม่มีในเมืองไทยกลับมา แล้วก็เช่าร้านเล็ก ๆ ที่สยามสแควร์เปิดเป็นร้านกิฟต์ ช็อป ปรากฏว่าขายดีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมีกำไรเดือนละ2 หมื่นบาท
หลังเปิดร้านกิฟต์ช็อปได้สัก 10 เดือนก็เจอกับเหตุชุมนุมทางการเมือง ทั้งปิดสนามบินและปิดถนนย่านสยามสแควร์ผมบินไปซื้อของไม่ได้ ส่วนลูกค้าก็เข้ามากันน้อยมาก ทำให้ยอดขายตกฮวบ แต่เมื่อสัญญาเช่าร้านยังไม่ครบหนึ่งปีก็ต้องสู้ต่อไป พอหมดสัญญาเช่าจึงคืนร้านไป เมื่อหักลบทุกอย่างแล้วผมเหลือเงินทุนอยู่เล็กน้อย จึงตัดสินใจลุยทำธุรกิจอื่นต่อ คือเปิดร้านขายเสื้อส่งที่ประตูน้ำ
ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจด้านเสื้อผ้าเลย จึงไปซื้อนิตยสารเสื้อผ้าวัยรุ่นญี่ปุ่นเพื่อมาดูแบบเสื้อผ้า ผมไปนั่งเลือกผ้าด้วยตัวเอง สั่งตัดชุดไปหลายแบบพอนำสินค้ามาลงที่ร้านก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผมเคยขายได้กำไรสูงสุดถึงเดือนละ 1 ล้านบาท พอได้จับเงินเยอะขนาดนี้ ผมก็เริ่ม“ลืมตัว” ใช้จ่ายเงินแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ธุรกิจก็ขยับขยายไปโดยไม่ได้มีการวางแผนอะไร แต่ขายดีมากจนโรงงานที่จีนให้เครดิตสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอได้เครดิตแตะ 3 ล้านบาทปุ๊บ ก็เกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองปิดแยกราชประสงค์ ทำให้ขายของไม่ได้ และมีสินค้าค้างอยู่ในร้านเป็นมูลค่าถึงสามล้านบาท เวลานั้นชีวิตตกต่ำมาก
คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ช่วงตกต่ำในชีวิตจนคิดอยากตาย
ช่วงที่มีปัญหาด้านการเงิน ผมไม่ได้ปริปากบอกใคร และยังคงนำเงินที่พอมีอยู่มาดื่มมาเที่ยว เพราะคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรใจหนึ่งผมก็อยากสู้ต่อ อยากลองเข้าไปขอออกอัลบั้มเดี่ยว แต่อีกใจก็อยากยอมแพ้และกลับบ้านไปบอกป๊า ขอให้ป๊าส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมลังเลใจว่าจะเลือกทางไหน จนวันหนึ่งจึงเข้าไปที่ RS เพื่อขอคุยเรื่องออกอัลบั้มเดี่ยว แต่ก็ดันไปเจอครูสอนเต้นที่เคยมีเรื่องไม่เข้าใจกัน เขาคงไม่รู้ว่าผมอยู่ในช่วงชีวิตพังอยู่จึงพูดว่า “เชนไปไม่รอดหรอก เต้นกระด๊องกระแด๊งอย่างนั้น”ผมโกรธมาก และไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดทำร้ายจิตใจกันอย่างนี้ ที่ผ่านมาผมร้องเพลงและเต้นด้วยความมั่นใจมาตลอด แต่หลังจากได้ยินคำพูดนั้นผมสูญเสียความมั่นใจที่เคยมีมา เวลานั้นสภาพจิตใจย่ำแย่มาก จนคิดอยากตาย แต่ผมไม่ได้คิดอยากฆ่าตัวตายนะ เพราะรู้ว่าบาปมาก
สู้อีกครั้ง
ผมเข้าไปขอคุยกับเฮียฮ้อที่ RS เพื่อขอออกอัลบั้มเดี่ยว ซึ่งเฮียก็ตกลงและให้เวลาผมสามเดือน โดยให้ ครูแหม่ม – พัชริดา วัฒนาเป็นผู้ดูแลการทำอัลบั้ม ช่วงสามเดือนนั้นผมแทบไม่มีรายได้เลย สมมติว่าไปงานถ่ายแบบ ผมจะแอบถือถุงข้าวกล่องกับน้ำขวดเป็นแพ็ค ๆ ที่เตรียมไว้ให้ทีมงานกลับบ้านมาด้วย ผมเอาข้าวกล่องพวกนี้แช่แข็งไว้ในตู้เย็นเป็นยี่สิบกล่อง พอจะกินก็เอามาอุ่นไมโครเวฟ มีกินได้ทั้งเดือนข้าวทุกคำที่กินเข้าไปเตือนให้ผมได้ทบทวนชีวิตตลอดว่า ทำไมผมถึงต้องมาขโมยข้าวเขากินแบบนี้ และย้ำเตือนว่าจะต้องไม่เป็นแบบนี้อีก จนได้ออกอัลบั้มเดี่ยว ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น
ช่วงออกอัลบั้มเดี่ยว ผมรับงานสนุกเลย กี่งานผมก็รับ เพราะผมตั้งเป้าว่าต้องทำงานให้ได้เฉลี่ยวันละ 15,000 บาท แต่จะจัดสรรเวลาว่าถ้าวันไหนมีเรียนจะไม่รับงาน เพราะผมเรียนช้ามาหนึ่งปีแล้วจากการดร็อปเรียน ตอนเข้าวงการ เพราะฉะนั้นต้องจบใน 5 ปีให้ได้ โชคดีที่หลังจากนั้นก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าถึง 3 ชิ้น ทำให้ผมปลดหนี้ไปได้เยอะ
ผมพยายามทำงานทุกอย่างเพื่อปลดหนี้ รับทั้งงานร้องเพลงและทำงานประจำ จนสุดท้ายก็กลับมาคิดว่าอยากทำธุรกิจอีกครั้ง กว่าจะมาถึงจุดที่คนเห็นว่าผมประสบความสำเร็จ ผมต้องเรียนรู้และฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มามากมายทำทุกอย่างเพื่อปลดหนี้ พอเรียนจบผมยังคงทำงานประจำควบคู่กับการเป็นนักร้อง ผมลุยงานเต็มที่จนเคลียร์หนี้สินไปได้มาก ต่อมางานประจำก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารจึงมีรายได้ต่อเดือนเป็นแสน ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินเหมือนที่ผ่านมาผมจึงมีเวลาว่างมากขึ้น และคิดอยากกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง
พอรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งด้านออนไลน์ผมก็อยากเพิ่มพูนความรู้ด้านนี้มากขึ้น จึงไปลงเรียนเขียนเว็บไซต์ที่สถาบัน NetDesignพอเรียนจบก็ทำเว็บไซต์ชื่อว่า chorchain.com (ชอเชนดอทคอม) เพื่อขายของกิฟต์ช็อปทางออนไลน์ ของที่ขายไม่ใช่สินค้าราคาแพง เป็นของหลักสิบหลักร้อย แต่ยอดขายดีมาก ตอนนั้นผมสามารถใช้หนี้ได้หมดเกลี้ยง และมีเงินติดบัญชีถึง 4 หมื่นบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มียอดเงินในบัญชี
ผมใช้เงินก้อนนี้บินไปเมืองกว่างโจวและเลือกซื้อของกิฟต์ช็อปดี ๆ มาขายอีกพอเอามาลงเว็บคืนเดียวก็ขายได้หมด ผมจึงสนุกกับการทำธุรกิจอีกครั้ง เริ่มบินไปซื้อของบ่อยและสั่งสินค้ามาเยอะขึ้น จนวันหนึ่งผมได้ยอดเงินจากการขายของมากกว่าค่าตัวขึ้นคอนเสิร์ตเสียอีก พอชีวิตและธุรกิจเข้าที่เข้าทาง ผมก็บวชให้พ่อกับแม่ตามที่ตั้งใจไว้
คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป
สู่เป้าหมายในใจ
ผมบวชเมื่ออายุ 25 ปีพอดี ผมเคลียร์งานทุกอย่าง และฝากตัวตั้งแต่ก่อนบวชหนึ่งเดือนที่วัดใหม่ปิ่นเกลียว จังหวัดนครปฐม ผมตั้งใจทำให้ดีที่สุด จนวันบวชตอนที่แม่ปลงผม ผมซาบซึ้งจนน้ำตาไหลไม่หยุด ภาพเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาเข้ามาในหัวหมดทุกอย่าง จนเมื่อเดินเข้าโบสถ์ผมได้สัมผัสกับ“สมาธิ” โดยพลัน เพราะในหัวโปร่งโล่งไปหมดผมจึงตั้งมั่นที่จะฝึกสมาธิให้ดีที่สุด และได้สัมผัสกับสมาธิและความว่างเปล่าหลายครั้งจนครบ 7 วันซึ่งเป็นกำหนดสึก
หลังบวชผมออกมาลุยงานต่อ ครั้งนี้ผมทำธุรกิจอย่างระวังตัวมากขึ้น มีการวางแผนการเงินและศึกษาเทรนด์การตลาด ธุรกิจของผมเริ่มต้นจากโต๊ะกินข้าวที่บ้าน มีคนทำงานเพียงห้าคน คือ ผม น้องเจมซึ่งตอนนั้นเพิ่งเป็นแฟนกัน และทีมงานอีกสามคน เพียงไม่นานสินค้าก็ขายดีมาก จนไม่มีที่เก็บและต้องขยายมาไว้ที่โรงรถ ไม่เกินครึ่งปีสินค้าที่เตรียมส่งก็เยอะมากจนลามมาที่สนามหญ้า ผมจึงตัดสินใจนำเงินสดที่มีมาซื้อตึกสำนักงานเพื่อให้มีพื้นที่ทำงานเป็นสัดเป็นส่วน พอย้ายมาอยู่ที่ออฟฟิศใหม่ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆขึ้นเป็นหลักล้าน จนวันนี้ผ่านมาสามปี มูลค่าธุรกิจเทียบเท่าหลักพันล้านแล้ว ทั้งยังขยายตึกออฟฟิศเป็น 5 ตึกด้วย
ความสุขของชีวิต
เมื่อก่อนผมเคยหลงคิดว่า ถ้าจะมีความสุขก็ต้องเป็นสุขอย่างสุดโต่ง หรือความสุขต้องเกิดจากความตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจแต่พอได้เรียนรู้ชีวิตจึงรู้ว่า เพียงไม่มีทุกข์ก็เรียกว่าสุขได้แล้ว หรือมีทุกข์เล็กน้อยก็ยังถือเป็นความสุข และผมเป็นคนไม่จมอยู่กับความทุกข์ ถ้าเกิดปัญหาอะไรที่กระทบใจผมจะรีบหาทางออกให้ตัวเองเสมอ
คนอาจมองว่าผมประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้ามองย้อนกลับไปผมเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 19 เริ่มเร็วและล้มเร็วกว่าคนอื่น แต่ไม่เคยยอมแพ้และสู้มาตลอด ความล้มเหลวทำให้ผมไม่กลัวปัญหาและพร้อมหาทางออกเสมอ
เรื่องโดย : เชิญพร คงมา
ภาพโดย : พีรพันธุ์ วิจิตรไกรวิน
บทความที่น่าสนใจ
กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล จากแม่ค้าเร่สู้ชีวิต สู่เศรษฐีร้อยล้าน
4 สิ่ง ที่จะช่วยให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จ