กว่าจะเป็น ดา เอ็นโดรฟิน กับบททดสอบของชีวิต
ธนิดา ธรรมวิมล เป็นที่รู้จักในชื่อของ ดา เอ็นโดรฟิน หนึ่งในนักร้องเสียงทรงพลังของเมืองไทย ที่เพิ่งพิสูจน์ความสามารถในฐานะ โค้ชเดอะวอยซ์คนใหม่ในซีซั่นล่าสุด เธอบอกว่าเบื้องหลังความสำเร็จในวันนี้ไม่ใช่แค่ “ความมุ่งมั่น” แต่ยังประกอบด้วยบางสิ่งที่เชื่อว่าไม่มีวันหายไปจากโลกที่หมุนเร็วและฉาบฉวยใบนี้
ชีวิตก่อนเข้าวงการเป็นอย่างไรบ้างคะ
ดาเป็นลูกหลานข้าราชการ ไล่มาตั้งแต่รุ่นคุณย่า คุณยาย คุณลุง คุณน้า จนถึงคุณพ่อ คุณแม่ แต่จู่ ๆ ก็มีดาอยู่คนเดียวในครอบครัวที่ลุกมาจับกีตาร์ เล่นดนตรีตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม เพราะรู้สึกว่าใช่เรามากเป็นตัวเองมากที่สุด ครอบครัวจึงค่อนข้างแอนตี้ เพราะสมัยก่อนเชื่อกันว่าข้าราชการเป็นอาชีพที่ปลอดภัย อยู่กินสบาย แล้วดาก็เป็นลูกสาวคนโต เป็นความหวังแรกของครอบครัว มีแต่คุณยายที่สนับสนุนดาเรื่องร้องรำตั้งแต่เด็ก ถ้ามีงานประกวดท่านจะพาไปแต่งหน้าทำผม แอบเป็นแม่ยกเบา ๆเพราะเชียร์เสียงดังมากไม่ได้ (หัวเราะ)
กระทั่งช่วงใกล้เอนทรานซ์ คุณพ่อคุณแม่ให้จริงจังกับชีวิต ไม่เห็นด้วยที่เล่นดนตรี เพราะภาพนักดนตรีในความคิดของท่านไม่ค่อยดี วงร็อค อันเทอร์เนทีฟ ชอบขึ้นไปเตะกลอง เตะนู่นเตะนี่ ซึ่งดูรุนแรงทำให้เสียคน เราเลยทะเลาะกัน จนคุณพ่อตัดสินใจซื้อใบสมัครดุริยางค์ทหารเรือเพื่อให้เรารับราชการ แต่ดาก็ไม่สนใจ
ครั้งนั้นครอบครัวสั่นคลอนมาก เป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุด ความตั้งใจเรามันเร็วและแรงจนคุณพ่อคุณแม่ตามไม่ทัน ดาลุยคนเดียว คิดคนเดียว ไปประกวด ซ้อมดนตรี ทำเดโมเพลงโดยที่เขาก็ไม่รู้ ครอบครัวไม่อบอุ่นเลยในช่วงระยะเวลา 2 ปีครึ่งเราไม่คุยกัน คุณพ่อไม่โอเคเลยกับดนตรีคุณแม่ก็ต้องคอยเป็นคนกลาง
จนถึง ม.5 เทอม 2 วันหนึ่งดาไปซ้อมดนตรี เจ้าของห้องซ้อมมาขออัดเพลงไปบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนฟัง เราก็ไม่ได้ว่าอะไรอาทิตย์ต่อมาแกรมมี่โทร.มาหา ปรากฏว่าเพื่อนพี่คนนั้นคือโปรดิวเซอร์ค่ายแกรมมี่เขาแต่งเพลง “เพื่อนสนิท” อยากให้เราไปร้องพอสกรีนเทสต์เสร็จ แกรมมี่ก็ให้เซ็นสัญญาเลยเราไม่คิดมาก่อนว่าโอกาสจะเกิดจากซีดีแผ่นเดียว
เกิดความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวอย่างไรบ้างคะ
ตอนนั้นดาอายุยังไม่ถึง 18 ปี เซ็นสัญญาไม่ได้ คนแอนตี้ที่สุดก็ต้องมาเป็นผู้ปกครองเซ็นสัญญาที่ตึกแกรมมี่ หลังจากนั้นคุณพ่อก็ดีขึ้น เพราะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เรื่องนี้ดามองว่าเป็นข้อเสียของครอบครัวที่ไม่มีเวลาให้กัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวมันหายไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โกรธกันเลย แต่ถ้าไม่ได้คุยหรือสื่อสารกันก็สามารถสร้างด้านลบได้ แค่เรื่องนิดเดียวอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
ส่วนคุณยายบอกว่า “ถ้าฉันเด็กกว่านี้สัก 20 ปีนะ ฉันจะเป็นผู้จัดการส่วนตัว หิ้วกระเป๋าไปช่วยเธอ” (หัวเราะ) ยอมรับเลยว่าแอดติจูดส่วนใหญ่ของดาได้มาจากคุณยายท่านเป็นลูกสาวลิเก เลิกกับคุณตาตั้งแต่30 ต้น ๆ เป็นโสดเลี้ยงลูก 3 คน ถ้าไม่มีใครรักลูกตัวเองก็ไม่แต่งงานใหม่ ยายเป็นคนเดียวที่เชื่อว่าหลานทำได้ ดาสนิทกับคุณยายมากทุกวันนี้ยังตื่นเช้าไปตลาดกับยายเป็นประจำ
รู้สึกอย่างไรหลังจากได้เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว
ทำงานกับพี่ๆ โปรดิวเซอร์แฮ้งเอ๊าต์กัน นั่งฟังเขาคุยเรื่องชีวิตเหมือนชีวิตวัย 17 ข้ามสเต็ปไปมีเพื่อนอายุ 30 เลยดากลายเป็นเด็กโตเร็วที่ต้องดูแลตัวเองและดูแลคนอื่น ๆ ในวงด้วย ดาฟอร์มวงขึ้นมามีทั้งนักดนตรี คนขับรถตู้ แบ็กสเตจ เป็นหัวหน้าคนตั้งแต่เด็ก ๆ บางทีรู้สึกว่าเหนื่อยจังแต่จะคิดถึงคำพูดคุณยายที่บอกเสมอว่า“ชิล ๆ สิ” “ไม่เป็นไรหรอก” “ไม่เห็นเหรอคนอื่นเขาลำบากกว่าเราตั้งเยอะ”
ขณะเดียวกันก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งคือแอบสะใจเบา ๆ (หัวเราะ) เป็นความสะใจและภูมิใจ เพราะรู้สึกกดดันมาตลอดว่า เราเป็นพี่คนโตที่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง แต่พลิกกลับโดยสิ้นเชิง ของขวัญชิ้นแรกคือใช้หนี้สหกรณ์โรงเรียนให้คุณแม่ ดารู้สึกว่าถ้าที่บ้านสบายก่อน เราจะสบายใจ แต่ถ้าเราสบายก่อนจะรู้สึกผิด ต่อมาก็ตั้งเป้าเก็บเงินซื้อบ้านด้วยเงินสด เพราะดาโตมากับแฟลตตำรวจ และไม่อยากเป็นหนี้ ความสุขเริ่มเบ่งบานในช่วงนี้ ทุกคนมีความสุข มีบ้านมีหมา มีแมว ดากลายเป็นลูกคนโตที่จัดระเบียบความสุขของคนในบ้าน
คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ช่วงหนึ่งมีกระแสโจมตี ดา เรื่อง “ดังแล้วแยกวง” พอสมควร ทำใจกับเรื่องนี้อย่างไร
ตอนนั้นวงเอ็นโดรฟินเป็นวัยรุ่นกันทั้งหมด แต่เรากินข้าวคนละรสชาติ แนวดนตรีคนละแบบ จึงตัดสินใจร่วมกันว่าแยกวง เหมือนคนเป็นแฟนกันใช้ชีวิตแบบนี้ไม่มีความสุขแล้ว เราเลิกกันเถอะ (หัวเราะ)แต่ดาโดนว่าว่าดังแล้วแยกวงเยอะมาก ช่วงอัลบั้ม 3 ก็เหลือตัวคนเดียว ดาพยายามให้กำลังใจตัวเองบ่อย ๆ ว่า ไม่เป็นไร ผลงานจะพิสูจน์เราเอง เป็นนักร้องเดี่ยวที่ใช้นามสกุลเดิมก็ถูกแล้วที่สายตาคนข้างนอกจะมองแบบนั้น แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทำไมเราไม่มีความสุข
ช่วงแรก ๆ เคยท้อและเครียด เพราะต้องทัวร์คนเดียวกับแบ็กอัพแบนด์ที่เราไม่รู้จัก กีตาร์ เบส กลอง เปลี่ยนคนใหม่ตลอด เคมีของวงไม่ลิงค์กันก็ยาก ต้องปรับตัวไปเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันดาก็คิดอีกมุมหนึ่งว่า เฮ้ย นี้มันบททดสอบ ถ้าเราข้ามจุดนี้ไปได้ ก็อยู่บนเวทีใหญ่ได้แล้วนะจึงค่อย ๆ ปรับจูนตัวเอง
เมื่อมีความทุกข์ก็ควรปรับที่ตัวเองใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ ปรับที่ตัวเองก่อน อาจเพราะเราถูกสอนให้ช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เด็ก ต้องปรับตัวเองตั้งแต่ถูกแอนตี้เรื่องที่เรามุ่งมั่นบางคนปรับไม่ได้ก็เตลิดไปเลย แต่ดาคิดว่าการที่เราทำให้คนที่เรารักเสียใจเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากที่สุด ถ้าคุณยายรู้ว่าเราติดยาหรือพยายามฆ่าตัวตาย ท้อแท้ หมดหวังคนที่เสียใจที่สุดก็คือคนที่เรารัก เมื่อรู้สึกตัวว่าเราจะทำไม่ดี ก็ต้องรีบห้ามตัวเอง
ระหว่างที่ชีวิตเดินมาบนเส้นทางนี้ ดาเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีเยอะมาก นักดนตรีเล่นยากินเหล้า ปาร์ตี้ คนตีกัน มีให้เห็นตลอดเวลา แต่เราบอกตัวเองได้ว่าไม่อยากเป็นแบบนั้น อาจซ่าจนหลุดไปบ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ปล่อยให้เตลิดไป เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเรากลับบ้านมา แล้วยายจับได้ว่าไปทำอะไรมา ยายต้องเสียใจ พ่อแม่ต้องเสียใจ
หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ต้องถามตัวเองว่าเราอยากจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าดาเชื่อว่าสุดท้ายความจริงใจและความดีที่เรามีจะตัดคนที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต เหลือแต่คนดี ๆ ในชีวิตเพียงไม่กี่คน รวมถึงความรู้สึกเราด้วย ความรู้สึกในแง่ลบจะค่อย ๆถูกดีดออกไป เราจะคิดได้ว่าเราไม่ต้องการปริมาณ แต่ต้องการคุณภาพ
คนส่วนใหญ่ทุกข์เรื่องความรัก แต่ชอบฟังเพลงเศร้าที่ส่งผลต่ออารมณ์มีคำแนะนำเรื่องนี้ไหมคะ
ไม่ผิดที่คนเราจะมีมุมคิดเยอะ มุมดราม่า มุมกำลังข้ามผ่านปัญหา เวลาที่ดาไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วร้องเพลงเศร้า ดาจะบอกกับแฟนเพลงว่า ถ้าวันนี้อยากจะร้องไห้ ให้ร้องเป็นวันสุดท้าย ร้องให้จบ พรุ่งนี้ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ชีวิตมีอะไรให้สนุกอีกเยอะ ดาเองก็เคยมีโมเมนต์เลิกกับแฟนเก่า แต่คติของดาคือ จบเร็ว ไม่จมนาน เพราะชีวิตมันเดินผ่านเวลาไปเร็วมาก ไม่อยากเสียเวลากับมัน
เรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดจะทำลายพลังงานบวกของเรา ถ้าปล่อยให้มันกินพลังงานเราไปหมด รู้ตัวอีกทีอาจสายเกินไป ถ้าเราโดนพลังงานลบครอบงำสัก20 เปอร์เซ็นต์ ก็ควรรีบตื่นแล้วกลับมาทำอะไรให้ชีวิตมันคึกคักดีกว่า โลกตอนนี้มันหมุนไปเร็ว ถ้าเราไม่วิ่งตามให้ทัน อาจพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิต เวลาปิดคอนเสิร์ต ดาชอบร้องเพลง“สิ่งสำคัญ” เพราะอยากให้ทุกคนจำว่า อดีตแก้ไม่ได้จริง ๆ คิดเยอะไปก็เท่านั้น แต่ดึงมันมาสอนเราดีกว่า บอกตัวเองว่าจะไม่ทำอีก มีแต่ปัจจุบันที่ทำให้อนาคตดีได้ เพราะฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด
คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ยุคนี้เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงวงการเพลงด้วยดามีมุมมองเรื่องนี้อย่างไร
วงเอ็นโดรฟินอยู่ในช่วงปีสุดท้ายที่ผลิตเทปคาสเส็ต ก่อนจะเป็นแผ่นซีดี ดาก็ โหเปลี่ยนขนาดนี้แล้วหรอ ฉันยังเอาดินสอกรอเทปอยู่เลย (หัวเราะ) จากยุคซีดีก็มาไอพอดMV ก็หาดูได้ในยูทูบ ไม่ต้องรอหน้าทีวีแล้วแต่ดาคิดว่า ถ้าเพลงเราดี คนก็ต้องซื้อถ้าเราร้องดี เล่นสดดี เอนเตอร์เทนคนดียังไงคนก็ต้องซื้อที่ผลงาน วันนี้ทุกอย่างมันง่ายและฉาบฉวยมากขึ้น แต่สิ่งที่จะอยู่คงทนก็คือความสามารถ ซึ่งก็เหมือนกับความดีที่ไม่สามารถมลายหายไปกับเวลาได้
ในยุคนี้ยอดซื้อซีดี ยอดซื้อเพลงต่ำลงมาก เราก็ต้องพาตัวเองไปอยู่ในคอนเสิร์ตใหญ่เพื่อพิสูจน์ความสามารถ และการันตีอีกครั้งว่าฉันยังมีคุณภาพ เป็นบทพิสูจน์หนึ่งที่ดาทำมาตลอด 13 ปี และทุกครั้งที่แฟนเพลงร้องตามไปด้วยกันในคอนเสิร์ต ทำให้ดารู้สึกว่านี่แหละที่เทคโนโลยีฆ่าไม่ได้ ซึ่งก็เหมือนกับความดีของคน ที่เวลาฆ่าไม่ได้เหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครรู้จักดาอีกแล้วก็เป็นเรื่องปกติของวงการบันเทิง ดาแฮ็ปปี้แล้วสำหรับยุคที่เราได้ตักตวงความสุขมาพอสมควร หากถึงวันนั้นจริง ๆ ดาก็ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างเช่นการร่วมค่ายอาสาสมัครไปเป็นโค้ชสร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้ดนตรีบำบัดเข้าไปผสมผสานกับงานอาสา เยียวยาผู้ที่ต้องการพลังใจ
ยังไม่ทันถึงวันนั้น แต่เห็นดาทำงานอาสาสมัครแล้ว เริ่มสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
เพิ่งเริ่มช่วง 2-3 ปีหลังนี้เอง ดาบอกค่ายเพลงว่าอยากใช้ดนตรีไปบำบัดเด็กวัยรุ่นเพราะรู้สึกว่าเด็กจะเสียคนหรือได้ดีเริ่มจากวัยนี้ เขาโตขึ้นมาเห็นอะไรก็จะเป็นแบบนั้นอยู่กับใครมาก็จะเป็นแบบนั้น นี้คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ทุกวันนี้มีเด็กเกิดในครอบครัวที่ไม่มีคุณภาพเยอะมาก เลี้ยงลูกแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้สอนให้ออกไปมีชีวิตที่ดีขึ้น ดาจึงอยากไปร้องเพลงความหมายดี ๆ ให้เขารู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือปัจจุบัน อดีตคุณพลาดไปแล้ว คุณแก้ไขไม่ได้ แต่เริ่มใหม่ได้
ล่าสุดดาไปให้กำลังใจเด็กท้องก่อนวัยอันควรที่บ้านพักเด็กฉุกเฉิน ดอนเมืองพวกเขามีลูกแบบไม่ตั้งใจ พ่อเป็นโรคจิตติดยาเสพติด โดนข่มขืน ดาใช้พลังของดนตรีนี่แหละบอกเขาว่าอย่าเสียใจไปเลยถ้าวันหนึ่งดาอยากแขวนนวมขึ้นมา อาจเห็นดาช่วยคนอยู่ก็ได้
เคยมีน้องแฟนคลับเขียนจดหมายมาหาบอกว่าพ่อติดคุกไม่รู้จะทำยังไงดี มืดแปดด้านแต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงพี่ดาจะได้กำลังใจมากเพราะรู้สึกว่าพี่ดาสู้ชีวิตมาเหมือนกัน หนูก็ต้องทำได้ จะไม่เป็นเด็กข้างถนน ไปปาร์ตี้กับเพื่อนทุกวันแบบเดิมอีกแล้ว เพราะถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปอีกคน แม่ต้องแย่แน่เลยบางคนเคยเกเร หันไปตั้งใจเรียนก็มี ดารู้สึกดีที่เราได้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขา
ดามีแฟนเพจมากกว่า 2.7 ล้านคนอยากบอกอะไรกับพวกเขาคะ
อยากให้ทุกคนเห็นมุมอื่น ๆ ของเรานอกจากการเป็นศิลปิน เป็นโค้ชเดอะวอยซ์นั่งเก้าอี้สีแดงดูยิ่งใหญ่อลังการ ขณะเดียวกันก็อัพรูปกับคุณยาย วันว่าง ๆ วันสบาย ๆพายายไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ทุกวันนี้ยังไปจ่ายตลาดสดอยู่เลย
มนุษย์ทุกคนมีหลายมุม บนคอนเสิร์ตดาร้องเต็มที่ เอนเตอร์เทนสุด ๆ แต่พอกลับมาก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนอยู่บ้าน พาหมาไปอาบน้ำ อยากให้เห็นว่าเราก็คนธรรมดานะให้แฟนคลับได้เห็นทุกพาร์ตของเรา แฟนเพลงที่เหนียวแน่นจริง ๆ มักรู้ว่า ดามันเลี้ยงยายเลี้ยงครอบครัวนะเว้ย หลายคนคิดไม่ถึงเพราะดูขัดกับลุคของดามาก คิดว่าคงอยู่ตัวคนเดียว ไม่เอาครอบครัว (หัวเราะ)
ความสุขของดาคือทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้ มีความสุข ดูแลเขา เพราะเขาดูแลเรามา เรื่องนี้ดาไม่ต้องพูด ถ้าคนเห็นเด็กเห็น แฟนคลับเห็น ก็จะคิดตามได้เองว่าเขาต้องทำแบบนี้ด้วยนะ ต้องไม่รักใครหัวปักหัวปํา กลับมารักที่บ้านบ้าง ยุคนี้เด็กมัธยมมีความรักกันรุนแรงมาก อยู่กันสองคนไม่สนใจคนอื่นเลย
ดาจะแอบบอกในเฟซบุ๊กหรือในคอนเสิร์ตว่า ไหนดูซิ สมมุติวันนี้เราไม่มีแฟน อยู่กับเพื่อนเราก็มีความสุขนะบอกรักเพื่อนบ้าง ร้องเพลง “ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ”แล้วหันไปกอดเพื่อนสิ บอกเพื่อนว่าเรามีกันและกันจนถึงทุกวันนี้มันมีค่า แทรกมุมมองไปตามเพลงเรื่อย ๆ ส่วนใครที่เคยเสียใจกับอดีต ดาอยากบอกว่า การเซตนิวโกล หรือตั้งเป้าหมายใหม่ให้ตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากและได้ผลด้วย จะทำให้เราตื่นนอนมาด้วยความหวัง จากนั้นจึงลงมือทำทุกวันให้ดีที่สุดเพราะปัจจุบันคือ “สิ่งสำคัญ” ที่สุด
เรื่องโดย : นิตยสาร Secret คอลัมน์ IDOL SECRET
ภาพโดย : ภาพ วิรัช จัตตุวัฒนา, วรวุฒิ วิชาธร , sanook
บทความที่น่าสนใจ
รักษาไข้ด้วยใจ “ กรุณา ” บทความให้กำลังใจจาก นายแพทย์ชวโรจน์ เกียรติกำพล
“กำลังใจ” จากผู้ชายที่ไม่เคยท้อแท้ คริสโตเฟอร์ เบญจกุล
บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว เมื่อจังหวะ “ธรรม” กระแทกหัวใจซูเปอร์สตาร์