เคล็ดลับการ ตั้งครรภ์ 9 เดือน แบบคุณแม่สุขใจ คุณลูกได้บุญ
เรื่องการ ตั้งครรภ์ โดย น้องแม่แหม่ม
แหม่มท้องแล้วค่ะ! ขึ้นต้นมาอย่างนี้ อย่าเพิ่งตกอกตกใจหรืองงเต้กกันนะคะว่าแหม่มเป็นใคร อยู่ดี ๆ ทำไมถึงมาป่าวประกาศกันแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่าตัวเองท้องอย่างนั้นอย่างนี้…ก็ต้องกราบขออภัยงาม ๆ ด้วยนะคะ พอดีเพิ่งลองตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง แล้วผลออกมาชัดเจนว่า ตอนนี้มีชีวิตน้อย ๆค่อย ๆ เติบโตขึ้นในท้องเล็ก ๆ ของแหม่มแล้วเลยอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้ว แหม่มก็ขอถือวิสาสะชวนทุกคนมานับถอยหลังร่วมกันว่าในอีก 9 เดือนถัดจากนี้แหม่มกับลูกจะต้องพบเจออะไรบ้าง เป็นกำลังใจให้แหม่มด้วยนะคะ!
เดือนที่ 1
หลังจากที่ได้รับข่าวดีของเจ้าตัวน้อยแล้ว ชีวิตของแหม่มก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปค่ะ
อันดับแรกเลยก็คือ แหม่มต้อง งดดื่มงดสูบ และเลิกปาร์ตี้ คืนวันศุกร์ - เสาร์โดยสิ้นเชิงค่ะ ซึ่งสามารถลดละเลิกได้อย่างง่ายดายและไม่น่าเชื่อเลย เพราะแต่ก่อนนี้ไม่ว่าจะเป็นสามี เพื่อน หรือว่าน้อง ๆสุดที่รักทั้งหลายเคยทักแล้วท้วงอีกก็ยังไม่สามารถทำให้แหม่มเลิกชิลกับสิ่งละอัน-พันละน้อยเหล่านี้ได้เลย ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีลูกเลยนะคะ
อย่างไรก็ตาม อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลดดื่มลดสูบได้ก็เพราะช่วงนี้แหม่มรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวสักเท่าไรค่ะเดี๋ยวก็คลื่นไส้ตอนเช้า ๆ เดี๋ยวก็หิวข้าวหิวน้ำวันดีคืนดีก็เกิดจิตตก กังวล หวาดกลัวไปซะทุกอย่าง เรียกว่าตามอารมณ์กันไม่ทันเลยค่ะ ดีนะที่สามีเตรียมรับมือเอาไว้อยู่แล้วเลยไม่มีปัญหา ก็คุณสามีนี่ละค่ะที่เอาบทความของ รองศาสตราจารย์ประทีปชุมพล มาให้อ่าน ซึ่งมีทางแก้สำหรับคุณแม่มือใหม่หัดท้อง มีประโยชน์มาก ๆ เลยค่ะ
“ในช่วงนี้ตำราแนะนำให้ใช้ยาเพื่อรักษาร่างกาย ส่วนด้านจิตใจให้ทำสมาธิรักษาศีล นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘การรักษาแบบองค์รวมตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย’นั่นเอง”
อ่านถึงตรงนี้คงต้องขอตัวไปนั่งสมาธิแล้วก็เอนหลังพักสักครู่นะคะ เพราะตำราเขาบอกไว้ด้วยว่า ในระยะนี้คุณแม่ครรภ์หนึ่งเดือนอย่างแหม่มต้องนอนให้ครบ8 ชั่วโมงต่อวันน่ะค่ะ…ไม่ได้ขี้เกียจแต่ประการใด
ส่วนเรื่องยารักษากายตามที่ตำราว่าไว้นั้นแหม่มคงไม่สะดวก ต้องขอบายนะคะเพราะกลัวยาจะมีผลต่อลูกในท้อง คุณแม่ที่อ่านอยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำตามด้วยนะคะ
กำเนิดชีวิตตามทัศนะของพระพุทธศาสนา ชีวิตในทัศนะพระพุทธศาสนาเกิดโดยอาศัยกระบวนการปฏิจจสมุปบาทโดยในมหาสีหนาทสูตร พระพุทธองค์
ตรัสถึงกำเนิดของสัตว์ไว้ 4 ประเภท คือ
1. สัตว์ที่เกิดจากเปลือกฟองไข่ เรียกว่า “อัณฑชะ”
2. สัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เรียกว่า “ชลาพุชะ”
3. สัตว์ที่เกิดในปลาเน่า ในเถ้าไคล เรียกว่า “สังเสทชะ”
4. สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นเต็มตัว เช่น เทวดา สัตว์นรก เรียกว่า “โอปปาติกะ”
เดือนที่ 2
พอเข้าเดือนที่สอง แหม่มก็กลายเป็นสาวฟรุตตี้ไปซะแล้วค่ะ…ทำไมน่ะหรือคะก็เพราะแหม่มกินผลไม้สดแทบทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย!
แหม ก็ทั้งหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้งเหนื่อยง่าย แถมยังแพ้ท้องหนักกว่าเดิมอีก งานนี้ก็ต้องแอ๊ปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้มเท่านั้นละค่ะที่ช่วยได้ นอกจากนั้นตำราปฐมจินดา คู่มือเลี้ยงลูกโบราณได้บอกไว้ว่าให้เอาแป้งที่ใช้ทำขนมมาคลึงที่ท้องแล้วปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ซึ่งสบายมากอยู่แล้วสำหรับสาวอาร์ตอย่างแหม่ม ตำราว่าไว้ว่า นอกจากจะเป็นการสร้างสมาธิที่ดีให้กับผู้เป็นแม่แล้ว ยังถือเป็นการสื่อสารกับลูกในท้องโดยการใช้มือสัมผัสด้วยนะคะ
พูดถึงพุงถึงท้องแล้วก็อดคิดมากไม่ได้ถึงปัญหาใหญ่ที่กำลังจะตามมาในช่วงเวลาจากนี้ นั่นคือแหม่มคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแบบยกตู้เลยทีเดียว เพราะถึงตอนนี้จะยังหุ่นเพรียวยั่วตายั่วใจคุณสามีอยู่เหมือนเดิม แต่ใครจะรู้ เดือนหน้าน้ำหนักของแหม่มอาจเพิ่มขึ้นมาอีก 10 กิโลกรัมก็ได้…ว่าแล้วก็ไปมอง ๆ ดูชุดที่จะใส่ตอนท้องโตดีกว่า
หา!? อะไรนะ เดือนนี้ลูกในท้องกำลังเริ่มสร้างสมองกับอวัยวะภายใน หรือโอเค! งั้นแหม่มสัญญาว่าจะเอาใจใส่เรื่องอาหารการกินให้มากขึ้นนะคะ จะ เลือกกินอาหารที่มีกรดโฟลิกที่ป้องกันความพิการทางสมอง ได้ดี และจะไม่ยอมให้มีสารแปลกปลอมซึ่งจะส่งผลต่อลูกเข้าไปได้เลยคอยดูสิ…แหม่มไม่ได้ตั้งใจตะกละเลยนะคะ
ตอนนี้คุณลูกเป็นอย่างไรบ้าง: เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ตัวอ่อนจะมีขนาดโตขึ้นเท่ากับผลองุ่นแล้ว ส่วนหัวจะโตขึ้นพอ ๆ กับอก หน้าจะเริ่มปรากฏให้สังเกตเห็นได้ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 8 เราจะเรียกตัวอ่อนว่า “ทารกในครรภ์”
ข้อห้าม 6 ประการสำหรับสตรีมีครรภ์ตามตำรา “ปฐมจินดา”
1. ละ เลิก ลดในกามกิเลส ถ้าจำเป็นก็อย่ารุนแรงในกามตัณหาเพราะจะทำให้ทารกเป็นอันตรายได้
2. ไม่กินของแสลงหรือของมีโทษต่อทารก เช่น ของเผ็ดร้อน เป็นต้น เลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์
3. ไม่พึงมีความโกรธ ฉุนเฉียว หรือ โมโหง่าย พึงควบคุมอารมณ์ให้จิตใจเบิกบานอยู่เสมอ
4. ไม่ทำร้ายร่างกายของตนเองโดยจงใจ รวมทั้งไม่ประมาทเลินเล่อเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับทารกในครรภ์
5. อย่าปล่อยให้สามีหรือบุคคลอื่นทำร้าย ไม่เว้นแม้แต่การทุบเบา ๆ ในบริเวณที่เสี่ยง เช่น บริเวณท้องน้อย
6. พึงระวังศาสตราคม ถูกคาถาอาคม หรือคุณไสย จงยึดมั่นในพระรัตนตรัย (เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของ “ประมาณกาลสิบเดือนก็เคลื่อนคลา”
(โดยรองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล นิตยสาร ชีวจิต)
เดือนที่ 3
ตอนนี้สามีเริ่มเข้าหน้าแหม่มไม่ติด แล้วค่ะ!
เพราะช่วงเดือนสุดท้ายปลายไตรมาส แรกนั้นถือเป็นเวลาวีนเหวี่ยงแบบจัดเต็ม
จนเรียกว่าเป็น“ช่วงเวลาแห่งการท่องเที่ยว ทางทะเล”ตามสํานวนของ คุณเล็ก – ฉัริษา ศรีสานติวงศ์
ปกติแหม่มก็ไม่ได้ติดตามงานของ คุณเล็ก – ฉัตริษาเท่าไรนัก จนกระทั่งท้อง
นี่ละค่ะ สามีเลยหาหนังสือเรื่อง ธรรมะกับโยคะ สําหรับแม่ตั้งครรภ์ มาให้ แรก ๆ ก็คิดแค่ว่าเขาหวังจะให้เราเอาธรรมะเข้าข่ม จะได้ใจร่ม ๆ ไม่กรี๊ดใส่เขา แต่พออ่านอย่างตั้งใจก็พบว่า การที่เราพยายามปรับใจไม่ให้ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามสภาวะร่างกาย นอก
จากจะมีผลดีต่อสามีแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อลูกด้วย…โดยเฉพาะการน้อมนําธรรมะเข้าใส่ใจ โดยในหนังสือยังบอกวิธีฝึกง่าย ๆ มาให้ด้วยค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 ฝึกตามรู้ตามดูลมหายใจทั้งแม่และลูก
หาที่เงียบ ๆ ตัดความกังวล ทิ้งไปจนจิตเริ่มนิ่ง หายใจลึก ๆ ช้า ๆ จินตนาการว่าสอนลูกหายใจไปพร้อมกัน การตามดูตามรู้ลมหายใจแบบนี้จะทําให้ ทั้งแม่และลูกผ่อนคลาย
ขั้นตอนที่ 2 รีบกําจัดความทุกข์ คิดเสมอว่า ลูกคือเรื่องที่ใหญ่และสําคัญที่สุด
หากมีเรื่องมากระทบใจ ต้องขจัดให้สิ้นซากในเวลารวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยการเจริญสติ
หรือหาหนังตลกมาดูสักเรื่องสองเรื่อง
ขั้นตอนที่ 3 ทําให้ลูกเป็นคนมีศีล ทําได้โดยการสวดมนต์อาราธนาศีลห้า
พร้อมกับอธิบายและสอนลูกในเรื่องนี้ไปด้วย ผลดีที่ได้รับนอกจากจะทําให้ลูก คุ้นเคยกับบทสวดมนต์แล้ว ยังจะทําให้ลูก สามารถซึมซับธรรมะได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ขั้นตอนที่ 4 อธิษฐานขอพร การอธิษฐานถือเป็นการสัญญาด้วยสัจวาจา ซึ่งหากมีความตั้งใจจริงย่อมนํามาสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะอธิษฐานขอให้ลูกเกิดมาครบ 32 เป็นคนมีสัมมาทิฏฐิ หรือสิ่งดี ๆ อื่น ๆ อ่านแล้วชักคันไม้คันพุง เอ้ย คันมือ
อยากฝึกตามคุณเล็กแล้วสิ งั้นขอตัวไปฝึกก่อนนะคะ แล้วดูสิว่าลูกจะออกมาหน้าตาดี
เหมือน เจมส์ – จิรายุ หรือพ่อณเดชน์ สุดฮ็อตกับเขาบ้างไหม (“เพ้อ…ผิดศีล!” สามีแซว)
เดือนที่ 4
ในที่สุดก็ได้เวลาโละเสื้อผ้าในตู้แล้วค่ะ! เพราะถึงตอนนี้พุงของแหม่มก็เริ่ม
ขยับขยายพื้นที่ราวกับลูกโป่งยังไงยังงั้น จนต้องเริ่มหาเสื้อผ้าหลวม ๆ พลิ้ว ๆ มาใส่บ้างแล้ว แถมยังเจริญอาหารเพิ่มขึ้นด้วย แต่ ถึงอย่างนั้นแหม่มก็พร้อมที่จะแลกค่ะ
เพราะพอย่างเข้าเดือนที่สี่ เจ้าอาการแพ้ท้อง คลื่นเหียนอาเจียน และอาการหงุดหงิด
จิตตกหม่นเศร้าได้อันตรธานออกไปจากชีวิตแหม่มเรียบร้อยแล้วค่ะ
อ้อ! ยังมีอีกหนึ่งปัญหาในช่วงนี้ ซึ่งว่าที่คุณแม่ทั้งหลายมักจะเจอกันก็คือ
ความรู้สึกว่าหายใจไม่เพียงพอ ในฐานะที่แหม่มอาบน้ําร้อนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ขอบอกว่า อย่าตกใจไป เพราะสามารถแก้ไขได้โดยการตั้งสติและควบคุมการ
หายใจให้เป็นจังหวะ หายใจให้ยาวขึ้น ลึกมากขึ้น แล้วคุณแม่มือใหม่อย่างเรา ๆ
ก็จะ รู้สึกดีขึ้น
พอพูดเรื่องสติแล้วอาจทําให้รู้สึกว่า ยากอยู่บ้าง แหม่มเองตอนแรกก็หนักใจอยู่
นิดหน่อยค่ะ โชคยังดีที่ได้อ่านคําแนะนําจาก ธรรมะกับโยคะ สําหรับแม่ตั้งครรภ์
ของคุณเล็ก – ฉัตริษาเจ้าเก่าที่บอกถึงวิธีการทําสมาธิสําหรับคนท้องเอาไว้ ซึ่งเธอยืนยันว่า การทําสมาธิมีประโยชน์มากมายทั้งกับคุณแม่และคุณลูก เลย ซึ่งแหม่มขอสรุปเป็นขั้น ๆ ดังนี้ค่ะ
1.หาเวลาว่าง ๆ สักวันละ 10 นาที
2. นั่งสมาธิในท่ามาตรฐาน คือ นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือขวาทับมือซ้าย
ขาขวาทับขาซ้าย
3.หากนั่งท่ามาตรฐานไม่ได้ เปลี่ยนเป็นท่าที่คุณสบายที่สุด เช่น นั่งพิงกําแพง
เหยียดขา หรือนอนสมาธิก็ได้
4.หลับตา ภาวนาพุท-โธ ตามลมหายใจไปเรื่อย ๆ
5.แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ และอย่าลืมแผ่ให้ลูกในท้องด้วย
ลองทํากันดูนะคะแหม่มลองแล้วได้ผลดีอย่างที่คุณเล็ก – ฉัตริษาว่าไว้จริง ๆ
ด้วย จริงไหมจ๊ะลูก (“ตุ้บ!” ลูกแหม่มเขาเตะท้องมาเบา ๆ เพื่อร่วมยืนยันค่ะว่าของเขาดีจริง หุหุ)
เดือนที่ 5
“ลูกจ๋า แม่รักหนูนะจ๊ะ”
อย่าค่ะ อย่าเพิ่งเลี่ยนหรือคิดว่า สาวห้าวอย่างแหม่มได้เปลี่ยนไปเป็นสาวหวาน
เสียแล้ว เพราะถึงแม้ว่าพอผ่านมาได้ครึ่งทางแล้วจะมีภาพที่แหม่มนั่งใช้มือลูบท้องและคุยจ๊ะจ๋ากับลูก ด้วยหวังใจว่าลูกจะได้รับรู้ถึงความรักของแม่ก็ตาม แต่สําหรับคุณสามีแล้ว ช่วงเวลานรกได้กลับมาอีกแล้วค่ะ หึ หึ หึ
เพราะนอกจาก ตอนนี้แหม่มจะเริ่มอุ้ยอ้ายเคลื่อนไหวเนื้อตัวลําบาก
แถมยังขี้ง่วงขี้เซาถี่ยิ่งกว่าที่เคยแล้ว คุณสามียังต้องทําตัวทําใจให้เย็น อดทนรับอาการเหวี่ยงของแหม่มที่เริ่มกลับมาอีกคํารบหนึ่ง เพราะแหม่มเริ่มรู้สึกรําคาญความเทอะทะของตัวเองเป็นกําลัง นอกจากนั้นวัน (ไม่) ดีคืน (ไม่) ดี แหม่มยังเกิดอยากอาหารแปลก ๆ ในเวลาประหลาด ๆ เช่น อยากกินผัดไทยประตูผี ตอนตีสอง หรือไม่ก็เครปโชคชัยสี่ที่ต้องรอคิว 3-4 ชั่วโมง ซึ่งสามีก็ต้องพยายามหามากํานัลจนได้ค่ะ
ด้วยเหตุนี้เองทําให้นอกจากเขาจะต้องเริ่มมองหาคอร์ส “เตรียมตัวเป็นคุณพ่อ
มือใหม่” จากโรงพยาบาลแถว ๆ บ้านแล้ว เขายังได้เอาเอกสารของ “โครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์” ของเสถียรธรรมสถานมาให้อ่านด้วย เป็นโครงการสําหรับครอบครัวที่กําลังตั้งครรภ์ โดยให้พ่อแม่ได้มีประสบการณ์ตรงเรื่องการทําสมาธิด้วยการมีสติ อยู่ในปัจจุบันขณะอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการหางานให้ตัวเองทําแทนที่จะปล่อยตัวเองฟุ้งซ่าน อย่างทํางานศิลปะ เป็นต้น นอกจากจะสนุกแล้วยังได้เฝ้าสังเกตอารมณ์ตนเองในขณะทํางานนั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเฝ้าสังเกตลูกต่อไปด้วย… แหม พูดมาเสียเยอะชักหิวอีกแล้วสิ ตอนนี้ก็ตีสี่แล้ว จะกินอะไรดีละค่ะคุณสามีขา…
เดือนที่ 6
“Give me five!”
อย่าเข้าใจผิดค่ะ แหม่มไม่ได้ต้องการทักทายสไตล์อเมริกันอะไรทั้งนั้น แค่อยากจะบอกว่า ตอนนี้น้ำหนักของแหม่มพุ่งขึ้นไปอีก 5 กิโลกรัมเรียบร้อยแล้วค่ะ! แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะ แขนที่เคยเรียวสวยของแหม่มก็กลายเป็นอวบระยะสุดท้ายไปแล้วเช่นเดียวกัน แถมรองเท้าก็ต้องซื้อใหม่ใหญ่กว่าเดิมเบอร์กว่าเป็นการชั่วคราว รอให้คลอดเสียก่อน คงจะกลับมาใส่รองเท้าคู่เก่งได้อีกครั้ง
แต่ในข่าวไม่ค่อยดีก็ยังมีข่าวดีค่ะเพราะ พอถึงเดือนที่หกนี้ ลูกในท้องจะสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ รอบตัวได้ดีแล้วค่ะ คุณหมอเลยแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่คุยกับลูกมาก ๆ หรือไม่ก็เล่านิทาน หรือจะเปิดเพลงคลาสสิกให้ลูกฟังเบา ๆ ก็ได้
แต่นอกเหนือจากทางเลือกเหล่านั้นแหม่มก็จะสวดมนต์ให้ลูกฟังในช่วงก่อนนอนด้วยค่ะ เพราะคุณหมอบอกว่าการที่ลูกได้ยินเสียงคุณแม่ในเวลาที่เงียบสงบนั้นจะทำให้ลูกฟังเสียงอย่างสงบไปด้วย โดยควรเลือกสวดมนต์ในบทเดิมซ้ำ ๆ กันทุกวันเพราะนอกจากจะทำให้ลูกรู้สึกคุ้นชินกับบทสวดมนต์แล้ว ยังทำให้ลูกซึมซับธรรมะเข้าไปโดยไม่รู้ตัวด้วยค่ะ
ส่วนจะเป็นบทสวดใด แหม่มก็ขอแนะนำบทบูชาพระรัตนตรัย บทชัยมงคลคาถา หรือจะสวดอิติปิโสเท่าอายุก็ได้หรือสวดบทอื่น ๆ ก็ยังไหว…แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ
เดือนที่ 7
เมื่อวันอาทิตย์แรกของเดือนมาถึง…ก็หมายความว่า แหม่มกับสามีมีนัดกันอีกแล้วค่ะ
แต่นัดของเราครั้งนี้ไม่ได้มีปลายทางที่ห้างสรรพสินค้าหรือโรงภาพยนตร์หรอกนะคะ แต่เป็นที่เสถียรธรรมสถานนั่นเองค่ะ หลังจากที่ไปมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้มาดูสิว่าเราจะได้ทำอะไรกันบ้าง
พอไปถึง แหม่มก็ออกจะแปลกใจเล็กน้อยว่า ทำไมทั้งแม่ชีหรือคุณพ่อคุณแม่ที่มาร่วมโครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์ถึงได้พากันมองแหม่มแปลก ๆก่อนจะถึงบางอ้อว่า เพราะชุดคลุมท้องสีชมพูแปร๊นของเรานี่เอง แหะ ๆ
แต่พอคุณแม่ชีศันสนีย์ขึ้นแสดงธรรมพร้อมกับคุณแม่คนอื่นที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ก็ไม่มีใครสนใจแหม่มแล้วละค่ะ เพราะกิจกรรมตรงหน้าน่าสนใจและมีประโยชน์กว่ามากนัก โดยเฉพาะกิจกรรมช่วงบ่ายที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญภาวนาระหว่างนอน ซึ่งแหม่มชอบมากค่ะ เพราะได้หลับยาว…ว…ว…ว…วเลย ถ้าสามีไม่ปลุกให้ลุกขึ้นมาเดินจงกรมด้วยกัน แหม่มก็คงจะตื่นเอาตอนเย็นย่ำที่ต้องเข้าห้องสักการะพระบรมสารีริกธาตุโน่นเลย
ที่นั่น คุณแม่ชีศันสนีย์ได้นำสวดอธิษฐานให้ลูกมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงคลอดง่าย เลี้ยงง่าย แล้วให้พ่อแม่แต่ละคู่จุดเทียนต่อบุญกัน และเดินสวดมนต์กันอีกสามรอบ ก่อนหน้าที่คุณแม่ชีท่านจะค่อย ๆ เดินสัมผัสหน้าท้องคุณแม่ทีละคนพร้อมคำอวยพรอย่างอบอุ่น และปิดท้าย(จริง ๆ) ด้วยการแจกองค์พระเพื่อคุ้มครองลูก ๆ ให้เกิดมาอย่างปลอดภัย ซึ่งช่วงนี้แหม่มถึงกับน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจเลยค่ะ ส่วนสามีแหม่มก็น้ำตาคลอเช่นกันเขามาสารภาพทีหลังว่าจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ซึ้งไปกับคุณแม่ชีหรอกนะคะ แต่แค่ตื้นตันที่ได้องค์พระกลับบ้านฟรี ๆ ต่างหาก…เวรกรรม!
ตอนนี้คุณลูกเป็นอย่างไรบ้าง: ในเดือนที่ 7 นี้ ทารกมีน้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม และยาวประมาณ 26 เซนติเมตร สมองได้มีการพัฒนาขนาดโตขึ้นมาก อีกทั้งยังสามารถรับรู้รสชาติได้ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าปุ่มรับรสของทารกที่อยู่ในครรภ์สามารถรับรู้รสได้ดีกว่าตอนที่อยู่ในโลกภายนอกเสียอีก
เดือนที่ 8
สงสัยแหม่มจะได้ลูกชายค่ะ…แถมอนาคตยังอาจเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าจัดอีกด้วย!
ทำไมแหม่มถึงกล้าสรุปอย่างนั้นน่ะหรือคะ ก็เพราะเวลาคลอดยิ่งงวดเข้ามาเท่าไร เจ้าลูกบังเกิดเกล้าในท้องก็ยิ่งถีบพุงแหม่มบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้งเลยค่ะแต่ละทีก็ไม่ใช่เบา ๆ เห็นเป็นรอยเท้าที่หน้าท้องชัดมากเลยค่ะ
แต่ทำไงได้ล่ะคะ เขาคงอยากออกมาเต็มแก่แล้ว แต่คงไม่รู้จะสื่อสารอย่างไรเลยต้องดิ้นต้องถีบให้คุณแม่คุณพ่อรับรู้ความเครียดและอึดอัดให้รู้กันแบบชัด ๆแต่เราคงจะเครียดตามลูกไปไม่ได้ เพราะจากที่อ่านตำราต่าง ๆ มา ทุกเล่มทุกสื่อต่างบอกตรงกันว่า แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น แม่เครียด ลูกก็เครียดแม่ตื่นเต้น ลูกก็ตื่นเต้นไปด้วย
แหม่มเองก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ จึงอยากฝากว่าที่คุณแม่ทุกคนว่า เรื่องของจิตใจและอารมณ์เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ค่ะ เพราะถึงแม้ว่าลูกจะอยู่ในท้อง แต่เขาก็สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านปฏิกิริยาและสารเคมีต่าง ๆ ในร่างกายคุณแม่ที่เปลี่ยนไปได้จริง ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นการอดทนเตรียมร่างกายและจิตใจให้ดีที่สุด รวมทั้งสวดมนต์และปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องย่อมส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และคุณลูกแน่นอนค่ะ
พูดไม่ทันขาดคำ ลูกก็ถีบพุงแหม่มอีกแล้วค่ะ ขอตัวไปปรับใจให้เย็นรับลูกเตะของลูกก่อนนะคะ…“เบา ๆ จ้าลูก ไม่ต้องพยายามทำลูกชู้ตสามเหลี่ยมประตูโชว์ก็ได้แม่ไม่เครียดแล้วจ้า…”
เดือนที่ 9
และแล้วเวลาที่แหม่ม สามี และทุก ๆ คนที่รักเรารอคอยก็มาถึง!เต็มที่
เตรียมตัวเตรียมใจทุก ๆ อย่างรมทั้งน้อมนำธรรมะเข้าสู่ชีวิต ด้วยหวังอยากให้ผู้มีบุญมาเกิด เป็นเด็กคลอดง่ายเลี้ยงง่าย และเป็นคนดีของสังคมต่อไป
แม่ตื่นเต้นเหลือเกิน! ในที่สุดเราก็จะได้เจอกันแล้วนะลูกจ๋า…ไม่ว่าลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
หลายคนถามว่า ทำไมไม่ทำอัลตรา-ซาวนด์เช็กเพศลูกไปเลย แต่แหม่มตั้งใจว่าจะขอลุ้นรอบเดียว รอดูหน้าดูเพศลูกรอบเดียวตอนที่เขาออกมาลืมตาดูโลกเลยค่ะ…อาร์ตไหมล่ะแม่คนนี้
ยิ่งใกล้วันคลอด แหม่มก็ยิ่งนึกถึงข้อความตอนหนึ่งใน ปฐมจินดา ที่กล่าวถึงตอนคลอดเอาไว้ว่า
“เมื่อแรกตกฟากนั้นก่อน อันว่ากุมารแลกุมารีทั้งหลายเมื่อลุอำนาจแก่ลมกัมมัช-ชวาต พัดให้กลับศีรษะลงเบื้องต่ำนั้น เมื่อกุมารและกุมารีนั้นตกใจดิ้นเกลือกไป มือคว้าเท้าถีบฉีกสายรกนั้นให้ขาดเสียสิ้นอันว่าโลหิตแห่งอุทรมารดา แลโลหิตในสายรก อันขาดออกนั้น กระจายออกไปอยู่ในอุทรประเทศ (ภายในช่องท้อง) นั้นก็พลัดเข้าไปในปากแห่งกุมารและกุมารีนั้นบ้าง แลออกตามช่องทวารของมารดานั้นบ้าง เหตุนั้นจึงว่าไว้ให้แพทย์พึงรู้ดังนี้…”
ยิ่งพอใกล้วันที่จะได้พบหน้าลูก แหม่มก็ยิ่งเข้าใจข้อความในประโยคเหล่านี้แจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตำราเลี้ยงลูกโบราณเล่มนี้สอนได้ลึกซึ้งมากจริง ๆ ว่าผู้หญิงมีครรภ์ควรทำอย่างไรบ้าง ซึ่งล้วนแต่มีผลดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำจิตใจให้สงบ รักษาศีล ไปจนถึงการลดละเลิกการทำงานหนัก
9 เดือนที่ผ่านมาช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ ทำให้แหม่มรู้ซึ้งถึงคำว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้แหม่มก็คงไม่ต้องคิดอะไรต่อไปแล้วละค่ะ เพราะหน้าที่ของเราในห้องคลอดคือ “เบ่ง” ให้เต็มที่เท่านั้น…ฮึบ ๆ ๆ ๆ
อีกไม่กี่อึดใจ เราก็…จะ…ได้…เจอ…กัน…แล้ว….นะ…ลูก
“ยินดีด้วยค่ะ คุณได้ลูกผู้…”
และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่แหม่มได้ยิน…ก่อนที่สติจะขาดหายไป
บทความน่าสนใจ
ถึงเวลา….ก็ต้อง “ปล่อย” เรื่องจริงของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้ปล่อยวางความทุกข์
Patty Resecker สุดยอดคุณแม่สามีวัย 50 ปี “อุ้มท้องแทน” ลูกสะใภ้
“แม่นุ่น” คุณแม่สู้มะเร็ง จากไปแล้ว หลังจากสู้กับโรคร้ายยาวนานถึง 5 ปี
อิ่มอุ่นรสมือแม่ที่ “ครัวคุณแม่”
5 ขั้นตอนปรุง อาหารใจ ให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
Dhamma Daily : เห็นแล้วปรี๊ดค่ะพระอาจารย์ ! คุณแม่โกรธจัด ที่เห็นลูกเล่นแต่เกม