แม่จ๋า หนูขอโทษ

แม่จ๋า หนูขอโทษ ต่อไปหนูจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว

แม่จ๋า หนูขอโทษ ต่อไปหนูจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว

“…มีสตางค์นี่นะช่างดีเหลือเกิน
มีสตางค์จะทำอะไรก็เพลินจะตาย
ไม่ต้องดิ้นต้องรน จะนกจะไม้ จะเอาอะไรก็ชี้
มีสตางค์ก็คงจะดีนะเออ เพียงแต่คนอย่างเรานะมันไม่ค่อยจะมี
พยายามประคับประคอง สุดท้ายก็ได้เท่านี้…”

ฉันหลับตาฟังเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมานานนับสิบชั่วโมง ตั้งแต่รถโดยสารเคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯ จวบจนใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางคืออำเภอเชียงคานแล้ว แต่ฉันก็ยังคงฟังเพลงเดิมอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะเนื้อหาของเพลงช่างตรงกับความทุกข์ภายในใจของฉันเสียเหลือเกิน

ย้อนไปช่วงเย็นของเมื่อวาน ฉันกำลังช่วยแม่ปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเหมือนเช่นทุกวัน ผู้ชายคุ้นหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านแล้วพูดกับแม่ของฉันว่า “ป้าแต๋วครับ ลูกชายผมกำลังจะเข้าอนุบาลเดือนหน้าแล้วครับ แต่ผมยังไม่มีเงินเลย หายืมที่ไหนก็ไม่มีใครให้ ผมขอยืมเงินป้าแต๋วสักสามพันได้ไหมครับ ต้นเดือนหน้าผมจะคืนให้…ช่วยผมสักครั้งเถอะนะครับ ผมจะไม่ลืมพระคุณเลย” พูดจบเขาก็ยกมือไหว้แม่ แม่ตอบด้วยน้ำเสียงเห็นใจว่า “ได้สิกอล์ฟ เดี๋ยวป้าไปหยิบให้นะ มีเงินเมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้ป้าก็ได้จ้ะ” ฉันเห็นเหตุการณ์โดยตลอด และจำได้ดีว่าผู้ชายคนนี้เคยยืมเงินแม่มาแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ยังคืนเงินไม่ครบ ฉันโกรธแม่มากพลางคิดในใจว่า ทำไมแม่ถึงได้ใจดีแบบนี้นะ

หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นกลับไป ฉันถามแม่ด้วยน้ำเสียงกระด้างว่า “ทำไมแม่ต้องให้คนอื่นยืมเงินตลอดเลย ทั้งที่เราช่วยกันทำงานอย่างหนัก เราจะช่วยกันเก็บเงินไว้ปลูกบ้านไม่ใช่เหรอ บางวันหนูต้องอดมื้อกินมื้อ แต่แม่เอาแต่สงสารคนอื่น ไม่เคยสงสารหนูบ้างเลยรึไง” สิ้นเสียงของฉัน แม่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ วินาทีนั้นฉันรู้สึกโมโหมาก ฉวยกระเป๋าเงินได้ก็วิ่งไปโบกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิตทันที ในใจคิดว่าคอยดูนะ ฉันจะไม่อยู่กับแม่อีกแล้ว ฉันจะหนีออกจากบ้าน

แม่จ๋า หนูขอโทษ
Photo by Ashley Gerlach on Unsplash

เมื่อมาถึงอำเภอเชียงคาน ฉันเดินหาที่พักที่หรูหราที่สุด เพราะอยากประชดแม่ด้วยการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หลังจากได้ที่พักราคาหลายพันบาทต่อคืนแล้ว ฉันก็เดินไปตลาดเพื่อซื้อเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพราะฉันไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ระหว่างนั้นฉันก็ยังคิดน้อยใจแม่ไปตลอดทาง

ฉันเดินผ่านร้านค้ามากมาย แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะซื้ออะไรสักชิ้น จนกระทั่งสายตาหันไปเห็นยาหม่องขวดใหญ่ ฉันนึกขึ้นได้ว่าแม่เคยบ่นปวดคอ ฉันจึงหยิบยาหม่องขึ้นมาอ่านสรรพคุณดู สักครู่แม่ค้าก็บอกว่า “ใช้ดีนะคะ ราคาไม่แพงด้วย หลวงพ่อฝากมาขายน่ะค่ะ เงินทุกบาททุกสตางค์ทำบุญเข้าวัดภูช้างน้อยทั้งหมดเลย…ถ้าวันนี้คุณว่างก็ลองไปกราบหลวงพ่อที่วัดได้นะคะ ท่านใจดีมาก” ฉันกล่าวขอบคุณแม่ค้า พร้อมซื้อยาหม่องติดมือมาด้วย ตั้งใจว่า ไหน ๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว ไปกราบหลวงพ่อให้สบายใจดีกว่า

ฉันขี่จักรยานที่เช่ามาแล้วถามทางชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จนถึงวัดภูช้างน้อย หลังชมบรรยากาศรอบวัดได้ครู่หนึ่งแล้ว ฉันก็เดินเข้าไปกราบท่านเจ้าอาวาสที่ศาลาการเปรียญ ท่านยิ้มอย่างใจดีพร้อมกับบอกฉันว่า “โยมเดินทางมาจากไหนล่ะ มาเหนื่อย ๆ ลองทานชามะก่องข้าวดูก่อนนะ อร่อยดี ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ด้วยนะ” ฉันเกรงใจท่าน จึงพยายามบ่ายเบี่ยง แต่ท่านก็ส่งน้ำชาแก้วโตให้ ฉันจิบชา ก่อนจะตอบท่านว่า “หนูมาจากกรุงเทพฯค่ะ พอดีซื้อยาหม่องของหลวงพ่อ ก็เลยแวะขึ้นมากราบด้วยเลยเจ้าค่ะ” หลวงพ่อยิ้มอย่างใจดีแล้วพูดว่า “มาไกลเลยนะ วันนี้พอมีเวลามั้ยล่ะ อาตมาจะสอนวิธีทำสมุนไพรมะก่องข้าวให้เอามั้ย จะได้ช่วยกันเอาไปเผยแพร่ สมุนไพรดี ๆ ทั้งนั้นเลย”

ฉันสนใจศึกษาเรื่องสมุนไพรอยู่แล้ว จึงรีบเดินตามหลวงพ่อไปที่อีกด้านของศาลาการเปรียญ เห็นคุณป้าสามคนนุ่งขาวห่มขาวช่วยกันห่อใบไม้สีเขียวแห้ง ๆ (ต่อมาทราบว่าคือใบมะก่องข้าวตากแห้ง) ด้วยผ้าขาวบางอย่างขะมักเขม้น คุณป้าหันมายิ้มหวานให้ฉันทันทีที่พบหน้า หลังจากหลวงพ่อแนะนำให้เรารู้จักกันแล้ว ฉันก็อาสาช่วยงานพวกท่าน พร้อมช่วยหลวงพ่อต้มยาหม่องใบหมี่ด้วย กว่าจะช่วยงานเสร็จ เวลาก็ล่วงมาจนเย็น ฉันกราบลาหลวงพ่อ ท่านรีบหยิบชามะก่องข้าว ยาสระผมใบหมี่ ครีมนวดผมใบหมี่ และยาหม่องใบหมี่ใส่ถุงใบใหญ่ให้ฉัน ฉันเกรงใจมากจึงไม่กล้ารับ สุดท้ายหลวงพ่อบอกกับฉันว่า “โยมเอาไปฝากคนที่โยมรักนะ ฝากพ่อแม่ ฝากเพื่อนก็ได้ ช่วยกันบอกต่อสมุนไพรดี ๆ ยิ่งถ้าใครอยากได้ต้นไปปลูกด้วยก็ยิ่งดีใหญ่เลย หลวงพ่อมีให้เยอะเชียว” พูดจบท่านก็ยิ้มกว้างอย่างใจดีอีกครั้ง ฉันรับของฝากจากท่านพร้อมกับตั้งใจจะช่วยนำมาเผยแพร่ตามเจตนารมณ์ของท่านให้ดีที่สุด

ฉันปั่นจักรยานจากวัดกลับที่พักอย่างทุลักทุเล เพราะจักรยานคันเล็กบรรทุกของฝากเต็มไปหมด ระหว่างทางฉันรู้สึกปลื้มปีติในความใจดีของหลวงพ่อ แต่ยิ่งฉันซาบซึ้งใจมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งโกรธและเสียใจกับการกระทำของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

ฉันหนีแม่มาที่นี่ และรู้สึกมีความสุขเมื่อคนอื่นหยิบยื่นไมตรีจิตมาให้ แต่ฉันกลับโกรธและขัดขวางแม่ไม่ให้มอบไมตรีจิตให้คนอื่น

ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกละอายเหลือเกิน ฉันทำให้แม่ที่ฉันรักมากที่สุดต้องร้องไห้ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวและเห็นแก่ตัวของฉันเอง

พอถึงโรงแรม ฉันตัดสินใจเก็บข้าวของทั้งหมดซึ่งมีเพียงของฝากจากหลวงพ่อและกระเป๋าเงินอีกหนึ่งใบ แล้วเดินทางขึ้นรถโดยสารกลับกรุงเทพฯทันที ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนรถฉันนั่งคิดคำขอโทษแม่มากมายหลายร้อยคำ แต่พอถึงหน้าร้านฉันกลับนึกคำขอโทษที่สวยหรูไม่ออก ได้แต่วิ่งเข้าไปหาแม่แล้วพูดกับแม่ว่า “แม่จ๋า หนูขอโทษ” แม่กอดฉันแน่นแล้วตอบว่า “แม่ก็ขอโทษหนูเหมือนกันลูก แม่ผิดเองที่ไม่ปรึกษาหนูก่อน” เราสองคนกอดกันร้องไห้โฮโดยไม่อายสายตาคนอื่นเลย…

ตกเย็นฉันช่วยแม่เก็บร้าน พร้อมกับเล่าเรื่องราวดี ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เชียงคานให้แม่ฟัง และบอกแม่ว่า “ต่อไปหนูจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว ถ้าแม่เห็นสมควรว่าจะให้ใครยืมเงิน หรือจะทำบุญแบบไหน หนูก็จะไม่ขัดขวางอีกแล้วค่ะ” สิ้นเสียงของฉัน แม่ก็ยิ้มหวานอย่างมีความสุข

จากวันนั้นจนวันนี้ เราสองคนแม่ลูกมีเงินมากพอที่จะปลูกบ้านในฝันแล้ว แต่เราก็ยังหมั่นทำบุญทำทานกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะรู้แล้วว่า ปริมาณของความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของเงินทองในกระเป๋า แต่ขึ้นอยู่กับความสุขใจที่ได้เป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ต่างหาก

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  บุญหนัก

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

เมื่อผมพาแม่ไปปฏิบัติธรรม

นิทานแสนเศร้า บทความเตือนใจสำหรับพ่อแม่ทุกคน

คุณแม่ลูกสามทิ้งงานเงินดี หันมาอุทิศตนช่วยเหยื่อการค้ามนุษย์

ถ้ารัก… อย่ายอมแพ้…แม้ความตาย!

กายพิการแต่ใจไม่พิการ หนุ่มจีนไร้แขน ดูแลแม่ด้วยสองเท้าของตัวเอง

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.