โมนีค ฟาน เดอ ฟอร์ส (Monique van der Vorst) เป็นนักกีฬาจักรยานมือหมุนที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก เธอเป็นเจ้าของสองเหรียญเงินพาราลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2008 เป็นแชมป์โลกสามสมัย แชมป์ยุโรปหกสมัย และเป็นนักกีฬาหญิงคนแรกที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการไอรอนแมนหรือคนเหล็ก 2009 และเป็นผู้คว้าแชมป์โดยทำสถิติใหม่คือ 11 ชั่วโมง 10 นาที 38 วินาที ฯลฯ (ไอรอนแมนเป็นการแข่งขันที่ว่ากันว่าโหดที่สุดสำหรับคนที่มีร่างกายปกติ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องแข่งไตรกรีฑาคือ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และวิ่งมาราธอน)
อันที่จริงโมนีคไม่ได้พิการมาตั้งแต่เกิด เธอเติบโตขึ้นโดยมีร่างกายเหมือนเด็กปกติทั่วไปในหมู่บ้านเนียวเวอร์เคิร์ก อาน เดอ อิสเซล ใกล้กับเมืองรอทเทอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ โมนีคเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬามากและเล่นได้ดีทุกประเภท
อย่างไรก็ตาม ตอนอายุ 13 จู่ๆ โมนีคก็มีปัญหาเกี่ยวกับการเดิน แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นโรคเกี่ยวกับเส้นเอ็น และได้ทำการผ่าตัดกระดูกออกส่วนหนึ่ง หลังผ่าตัดเธอก็กลับมาเดินได้ตามปกติ ทว่าไม่นาน ปัญหาที่เลวร้ายกว่าเดิมก็ตามมา
แพทย์ตรวจพบว่าโมนีคเป็นโรคกล้ามเนื้อลีบ (Dystrophy) ซึ่งนอกจากจะทำลายเซลล์ประสาทและสร้างความเจ็บปวดให้อย่างมากแล้ว ขาข้างซ้ายของเธอก็ยังบวมคั่งด้วยของเหลว โมนีคต้องเข้าศูนย์กายภาพบำบัดเพื่อฝึกเดินใหม่ ทว่าหลังจากสู้กับโรคนี้นานสองปี เธอก็ไม่สามารถใช้ขาทั้งสองข้างได้อีกต่อไป และต้องเปลี่ยนมานั่งรถเข็น
แม้ว่าความพิการจะทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวมาก แต่เธอก็รู้ดีว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอทำได้และอยากทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือการฝึกปั่นจักรยานมือหมุน (Handcycle) ซึ่งเธอเริ่มหัดหลังจากมีอาการป่วย 3 ปี โมนีคหลงใหลความเร็วในยามที่ปั่นจักรยาน เพราะมันทำให้เธอรู้สึกถึงอิสรภาพและเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
โมนีคเริ่มลงแข่งจักรยานมือหมุนตั้งแต่อายุ 15 ปี และลงแข่งขันในรายการต่างๆ ควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ เธอเรียนจบชั้นมัธยมปลายขณะอายุ 19 ปี ช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเพียงปีเดียวเท่านั้น และเธอจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวของมนุษย์ จากมหาวิทยาลัย Vrije Universiteit
ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม โมนีคจึงผ่านการคัดตัวให้เข้าร่วมการแข่งขันพาราลิมปิกที่ปักกิ่งในปี 2008 ซึ่งทำให้เธอต้องเดินทางไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่สหรัฐอเมริกา และขณะที่กำลังฝึกซ้อมอยู่บนท้องถนนนั่นเอง รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้าชนเธออย่างจัง อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้กระดูกสันหลังบริเวณทรวงอกเสียหายและทำให้เธอสูญเสียความทรงจำบางส่วน โมนีคไม่สามารถยกศีรษะขึ้นเองได้ และต้องเริ่มต้นหัดกินอาหารใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เธอก็ยังคงมองเห็นความเป็นจริงและไม่คิดยอมแพ้ “ฉันก็คิดเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นฉัน…แต่ฉันรู้ว่า ถ้าเอาแต่สงสารตัวเอง ฉันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
โมนีคบังคับตัวเองให้ทำกายภาพบำบัดและฝึกซ้อมอย่างหนัก ในที่สุดเธอก็ได้ลงแข่งจริงๆ ในสภาพที่ต้องสวมเฝือกรองคอ และคว้าสองเหรียญเงินในปีนั้น
ในเวลานั้นโมนีคมีเป้าหมายใหม่ นั่นคือการคว้าเหรียญทองพาราลิมปิกที่ลอนดอนในปี 2012 ให้ได้ ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความฝันจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าก็มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับโมนีคอีกจนได้!
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2010 โมนีคประสบอุบัติเหตุขณะฝึกซ้อมอยู่ที่เมืองมาจอร์กา (Majorca) ประเทศสเปน ตอนแรกแพทย์ตรวจไม่พบบาดแผลใดๆ แต่โมนีคมีอาการชักกระตุกอย่างแรงราวกับถูกไฟฟ้าช็อร์ต
อาการเริ่มจากบริเวณหลังส่วนล่างลงไปที่ขาทั้งสองข้าง ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้เธออย่างมาก โมนีคกลับมารับการรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในเนเธอร์แลนด์ ทว่าอาการชักยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โมนีคกลายเป็นคนทุพพลภาพยิ่งกว่าเดิม เพราะใช้แขนได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น แต่โมนีคก็ยังเป็นโมนีคคนเดิม แม้เหลือแขนเพียงข้างเดียวที่ขยับได้ เธอก็ยังคงออกกำลังที่แขนข้างนั้นอยู่เสมอ
กลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังฝึกกำมืออยู่บนเตียงเพียงลำพัง เธอก็รู้สึก “จี๊ดๆ” ที่เท้า ทำให้เธอรู้สึกช็อก เพราะหลายปีก่อนแพทย์หลายต่อหลายคนพยายามทดสอบความรู้สึกที่ขาของเธอ แต่เธอไม่เคยรู้สึกอะไรเลย
แม้แต่แพทย์ที่ดูแลเธอในปัจจุบันก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะไม่เคยเจอเคสที่คนไข้เป็นอัมพาตแล้วเกิดมีความรู้สึกกลับคืนมาอีก และจนถึงวันนี้แพทย์ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมนีค แต่ก็ได้จัดตารางการทำกายภาพบำบัดให้เธอ โมนีคเริ่มทรงตัวยืนบนขาตัวเองได้หลังจากอยู่โรงพยาบาลนานสามเดือน
ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล โมนีคขยันทำกายภาพบำบัดอย่างแข็งขัน แต่ผลที่ได้กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า สิ้นเดือนกรกฎาคมเธอเดินได้เพียงสามก้าว เดือนพฤศจิกายน เธอยังคงเดินได้เพียง 5 -10 นาที จนกระทั่งสิ้นเดือนธันวาคม เธอก็ยังคงเดินได้เพียงแค่ 10 นาทีเศษๆ เท่านั้น โมนีคต้องฝึกทำกายภาพบำบัดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เธอเข้ายิม ว่ายน้ำ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฝึกกับจักรยานเพราะช่วยผ่อนแรงกว่าการเดินมาก ในที่สุดเธอก็เริ่มขี่จักรยานได้อีกครั้งในเดือนมีนาคม ปี 2011
โมนีคได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา ซึ่งนั่นแปลว่าเธอต้องโบกมืออำลาชีวิตนักกีฬาพิการที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมทีม ความฝันที่จะได้เป็นแชมป์โลก และความรักต่อกีฬาจักรยานมือหมุนไปด้วย
“ฉันมองว่าการปั่นจักรยานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความพิการเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันแค่รักมันและชอบที่ได้ซ้อมอย่างหนัก ฉันคิดถึงความมุ่งมั่นและการฝึกซ้อม ฉันเคยฝึกหนัก 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ การต้องเลิกปั่นจักรยานมือหมุนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับฉัน”
โมนีคยังคงพยายามออกกำลังกายเพื่อสร้างความทนทานให้กล้ามเนื้อ ระหว่างนั้นเอง นักกายภาพบำบัดคนหนึ่งของโมนีคก็ช่วยติดต่อผู้จัดการทีม Rabobank ซึ่งเป็นทีมจักรยานระดับท็อปของเนเธอร์แลนด์และมีมารีแอน วอส (Marianne Vos) นักปั่นอันดับหนึ่งของโลกร่วมทีมอยู่ด้วย โมนีคได้เซ็นสัญญากับทีมในปี 2012
ณ วันนี้ เธอเป็น 1 ในทีมนักปั่น ซึ่งเธอต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่ต้นและต้องฝึกหนักเพื่อให้สามารถตามเพื่อนร่วมทีมได้ทัน ซึ่งโมนีคชอบความท้าทายนี้มาก เธอกล่าวว่า
“นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าระทึกใจมาก ตอนที่ยืนอยู่ระดับสูงสุดของกีฬาจักรยานมือหมุน ฉันรู้สึกว่ามีสิ่งที่ฉันสามารถพัฒนาได้อีกเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ฉันมองเห็นโอกาสที่จะพัฒนาเต็มไปหมด”
การที่โมนีคกลับมาเดินได้อีกครั้งอาจเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทว่าเมื่อเทียบกับกำลังใจอันแข็งแกร่งของเธอที่สามารถลุกขึ้นมาได้ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้ง…มันมหัศจรรย์กว่า จนไม่อาจเทียบกันได้เลย!
Secret Box
What doesn’t kill me makes me stronger.
สิ่งไหนที่ฆ่าฉันไม่ได้ สิ่งนั้นทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น
– ฟรีดริช นีทซ์เชอ นักปรัชญาชาวเยอรมัน (คำขวัญประจำใจของโมนีค)
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Violet
ภาพ thedailybeast.com, eurosport.com, deseretnews.com