วันที่ 13 ตุลาคม 1972 สายการบินอุรุกวัย แอร์ฟอร์ซ เที่ยวบินที่ F-227 บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือรวม 45 ชีวิต ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากเมืองเมนโดซา ประเทศอุรุกวัย ไปยังประเทศชิลี ผู้โดยสารทั้งหมดคือนักกีฬารักบี้แห่งมหาวิทยาลัยสเตลลามารีส์คอลเลจ (ปาฏิหาริย์บนเทือกเขาแอนดีส)
กัปตันทีมวัยเกือบ 23 ปีอย่าง นานโด ปาร์ราโด (Nando Parrado) รู้จักความหมายของมิตรภาพเป็นอย่างดี เพราะสิ่งสำคัญที่สมาชิกในทีมเข้าใจตรงกันก็คือ “เมื่อใครคนใดคนหนึ่งล้มลง เพื่อนร่วมทีมที่เหลือต้องเข้ามาปกป้องอย่างดีที่สุด”
นานโดเล่าว่า บรรยากาศบนเครื่องบินในวันนั้นคล้ายกับเที่ยวบินหรรษา เพื่อน ๆ ลุกจากที่นั่งเดินทักทายกันไปทั่ว มีกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นไพ่อยู่ท้ายลำ อีกกลุ่มหนึ่งปาบอลรับส่งกันไปมา เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังลั่น นอกจากนักกีฬาแล้วยังมีโค้ชและญาติ ๆ ของนักกีฬา รวมทั้งแม่และน้องสาวของนานโดด้วย นี่คงเป็นเกมการแข่งขันที่สนุกสนานอีกเกมหนึ่งถ้าเพียงแต่มันได้เกิดขึ้น!
แต่…ความเป็นจริงก็คือ เครื่องบินลำนี้ตกบนเทือกเขาแอนดีสในเขตประเทศอาร์เจนตินา จุดที่ตกอยู่สูงกว่าระดับทะเลถึง 12,000 ฟุต (3,659 เมตร) ลำตัวเครื่องบิน ส่วนปีก และส่วนท้ายฉีกขาดออกจากกัน มีผู้เสียชีวิตทันที 12 คน และผู้รอดชีวิตจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ
นานโดแทบไม่รู้สึกตัวตลอด 3 วันแรก เขาฟื้นขึ้นมาและพบว่าแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว ส่วนน้องสาวก็อยู่ในอาการโคม่า
อีก 9 วันถัดมา น้องสาวของนานโดก็ตายในอ้อมกอดของเขา
เพื่อต้านทานความหนาวที่อุณหภูมิติดลบ 37 องศาเซลเซียส นานโดเล่าว่า พวกเขาต้องเผาทุกสิ่งที่เผาได้เพื่อให้อุ่นขึ้น ”ผมบอกได้เลยว่า ธนบัตร 1 เหรียญใช้เวลาเผาไหม้ไม่ต่างจากธนบัตร 100 เหรียญ”
วันที่ 10 ของการรอดชีวิต เพื่อนร่วมชะตากรรมเกือบทั้งหมดตกลงกันว่าจะต้องหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปด้วยการกินซากศพของผู้เสียชีวิต โรเบอร์โต คาเนสซ่า (Roberto Canessa) เป็นคนแรกที่ตัดสินใจกิน ในขณะที่เพื่อนบางคนยอมอด
พวกเขาต้องผลัดกันไปเฉือนเนื้อที่ทั้งเย็นและแข็งจากศพที่ฝังไว้ใต้หิมะเพื่อประทังชีพ คนที่ไม่ยอมกินและบาดเจ็บหนักต่างทยอยกันเสียชีวิต ส่วนคนที่รอดก็พยายามต่อเวลาให้ความหวังด้วยการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ช่วยให้เดินบนหิมะได้ และเมื่อวันเกิดของคนใดคนหนึ่งเวียนมาถึง เพื่อนคนอื่น ๆ จะมอบซิการ์ที่เป็นส่วนของตัวเองให้เป็นของขวัญ เพื่อนบางคนก่อนจะจากไปได้ขอให้คนอื่น ๆ รับปากว่า จะต้องกินเนื้อของเขาหลังจากที่เขาตายไปแล้ว
วันที่ 61 นานโดและโรเบอร์โตเสี่ยงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเพื่อหาทางลงจากเขา ก่อนไป นานโดเอ่ยปากอนุญาตให้เพื่อน ๆ กินศพแม่และน้องสาวของเขาได ้ เพราะรู้ดีว่าการรักษาชีวิตเพื่อกลับไปพบกับครอบครัวมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางท่ามกลางหิมะถึง 10 วันเต็มโดยไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นเลย ทุกปีคริสต์มาสจะมาถึงในวันที่ 25 ธันวาคม แต่ปีนี้คริสต์มาสมาถึงเร็วกว่าที่เคย เพราะในวันที่ 22 ธันวาคม ทั้งคู่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนรอยต่อระหว่างอาร์เจนตินากับชิลี
เครื่องบินกู้ภัยต้องบินเข้าไปในหุบเขาถึง 3 รอบกว่าจะช่วยทุกคนออกมาได้ทั้งหมด แต่ละคนน้ำหนักลดลงกว่า 40 กิโลกรัมและขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
แม้จะมีการตั้งคำถามว่า “การเอาชีวิตรอดจากการกินซากศพเป็นสิ่งสมควรหรือไม่” แต่ผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คนก็พิสูจน์ตัวเองด้วยการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดแบบคนที่เคยลิ้มรสความตายมาแล้ว นานโดกลายเป็นเจ้าของบริษัท 6 บริษัท เป็นนักแข่งรถ และพิธีกรชื่อดัง เขารู้ดีว่าการรอดตายครั้งนี้เป็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ และเขาได้พบว่าสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดสำหรับมนุษย์ก็คือ
ความเชื่อมั่น ครอบครัว และมิตรภาพ
จึงเกิดเป็น
“ปาฏิหาริย์บนเทือกเขาแอนดีส”
(ปาฏิหาริย์บนเทือกเขาแอนดีส)
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Violet
ภาพ pinterest, google
บทความน่าสนใจ
วีซ่าเพื่อชีวิต ของ ชิอุเนะ สึกิฮาร่า
จัดสังฆทาน ยังไง ให้ได้บุญ งบไม่บาน
ฝึกปล่อยวาง ด้วย 10 คำสอนหลวงพ่อชา สุภทฺโท
เครียด หนัก สุขภาพเสื่อมกว่าที่คิด