บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนคนหนึ่ง อาจเกิดจากการกระทำที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยกับความใส่ใจอีกนิดหน่อย โดยลืมคำว่า “ธุระไม่ใช่” ไปเสียและใครจะรู้…การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจส่งผลถึงสังคมส่วนรวมอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้
เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเด็กน้อยคนนี้…
วันนั้นฉันไปซื้ออาหารสุนัขที่ร้านแถวจตุจักร ขณะกำลังเดินกลับมาที่รถ ฉันเห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่กับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ฉันเดินผ่านเลยไปโดยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงดังไล่หลังมาว่า
“เด็กคนนี้มันน่าสงสารจริง ๆ พ่อค้ายาบ้าจนติดคุก แม่ก็ไม่ดูแล มันเลยต้องไปขอข้าวบ้านนั้นทีบ้านนี้ที” เมื่อหันกลับไปฉันก็ได้เห็นว่าต้นเสียงคือชายคนดังกล่าว และข้าง ๆ เขาเป็นเด็กผ้ชู ายผิวดำเกรียมอายุประมาณ 5 – 6 ขวบหน้าตาน่าเอ็นดู แต่รูปร่างผอมเกร็ง สวมเพียงกางเกงขาสั้นมอซอกับรองเท้าแตะเก่า ๆ ในมือกำธนบัตรสีเขียวไว้แน่น…ฉันหันไปมองรอบตัว ไม่เห็นใคร ก็เลยแน่ใจว่าชายคนนั้นคงไม่ได้พูดกับคนอื่น ฉันจึงสาวเท้าเข้าไปหา
“ดูซิครับคุณ ผมต้องให้มันวันละยี่สิบบาท เพราะมันไม่มีจะกิน วัน ๆ ก็วิ่งอยู่แถวนี้ ผมละกลัวมันจะโดนรถทับ…ป่านนี้ยังไม่ได้เรียนหนังสือกับเขาเลย”
ชายคนนั้นบ่นพลางลูบหัวเด็กน้อยด้วยท่าทางเอ็นดู แต่สังคมที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงทำให้ฉันไม่ปักใจเชื่อใครง่าย ๆ ‘อาจเป็นพวกแก๊งขอทานเอาเด็กมาหากินก็ได้’ ฉันคิดก่อนจะดึงตัวเด็กชายออกมาห่าง ๆ และลงมือซักถามเขาด้วยตัวเอง แล้วฉันก็ได้รับคำตอบทุกอย่างตามคำบอกเล่าของชายคนนั้น แต่รู้เพิ่มขึ้นมาว่า “เอก” อาศัยอยู่ใต้สะพานลอย และเขาอยากเรียนหนังสือมาก…เด็กน้อยพูดลงท้ายด้วยคำว่า “ครับ” ทุกประโยค และยกมือไหว้ทันทีที่ฉันให้เงินเขา…น่าแปลกที่เด็กซึ่งแทบไม่เคยได้รับการเหลียวแลกลับมีกิริยามารยาทน่ารัก
“หนูเก็บไว้ซื้อขนมนะลูก…แล้วป้าจะหาคนมาช่วยให้หนูได้กินอิ่มและได้เรียนหนังสือด้วย”
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มจากริมฝีปากอันแห้งผากของเขา…ดวงตาเศร้าหมองของเอกฉายประกายแห่งความหวัง…จากนั้นฉันได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของชายคนดังกล่าวซึ่งชื่อ “พยุง” ไว้ และขอให้เขาช่วยประสานงานหากเจ้าหน้าที่ติดต่อมา ปรากฏว่าเขาเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างดี ทำให้ฉันรู้สึกผิดที่ตอนแรกมองเขาในแง่ร้าย!…ขากลับไปที่รถ ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าทั่วบริเวณนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุง รถบรรทุกคันใหญ่ขนวัสดุก่อสร้างเข้า – ออกตลอดเวลา คันหนึ่งกำลังเททรายเสียงดังสนั่นจนฝุ่นตลบไปทั่ว…นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กคนไหนสมควรจะเติบโตขึ้นมาแม้แต่น้อย!
เมื่อกลับถึงบ้านฉันจึงโทร.ไปหาศูนย์ประชาบดีที่หมายเลข 1300 โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับเด็กมากที่สุด และให้เบอร์ของคุณพยุงไว้ด้วย ทางเจ้าหน้าที่รับปากว่าจะประสานกับนักสังคมสงเคราะห์เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยด่วน…หลังจากนั้นสามวัน ฉันโทร.ไปติดตามที่ศูนย์จึงได้ทราบว่าขณะนี้สามารถติดต่อกับแม่เอกได้แล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่จะส่งตัวเด็กไปสถานสงเคราะห์ แต่ยังติดขัดเรื่องใบสูติบัตร นอกจากนั้นฉันยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม่เด็กมีสามีถึงสี่คนและมีลูกกับทุกคน แต่ไม่เคยรับผิดชอบเลย โชคดีที่มีญาติช่วยรับไปอุปการะ เหลือเอกเพียงคนเดียว ซ้ำร้ายแม่ยังเป็นวัณโรคอีกด้วย!…ต่อมาอีกสามวันฉันได้โทร.หาคุณพยุง…น้ำเสียงตื่นเต้นของเขาทำให้หัวใจฉันพองโตไม่แพ้กัน
“มันไปอยู่สถานสงเคราะห์แล้วครับคุณ! พอแม่มันเอาสูติบัตรมาให้และเซ็นยินยอม รถเขาก็มารับเลย…ไอ้เอกมันดีใจมากกระโดดขึ้นรถทันที ก่อนหน้านั้นมันมาถามผมทุกวันว่า ‘ลุงครับ เมื่อไรผมจะได้เรียนหนังสือล่ะครับ’…มันไม่ได้ร้องไห้อาลัยแม่มันเลยคุณ ผมละโล่งอก ขืนอยู่ที่นี่ต่อมันก็ไม่พ้นต้องขายยาบ้าแน่”
ทว่าเนื่องจากเอกยังเด็กมาก ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงสภาพจิตใจของเขาหลังถูกพรากจากแม่ เลยไปเยี่ยมเขาที่สถานสงเคราะห์ในวันหนึ่ง…แล้วฉันก็ได้เห็นว่าเอกในวันนี้แตกต่างจากเด็กน้อยที่ฉันพบในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง…เขาดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น…ผิวคล้ำน้อยลง…ที่สำคัญ สีหน้าแววตาของเอกดูสดใสอย่างยิ่ง เขาไหว้ฉันทันทีที่เห็น ก่อนจะวิ่งเข้ามาหา เมื่อฉันถามว่า “จำป้าได้ด้วยหรือ” เขาตอบทุกคำถามอย่างฉะฉาน
“จำได้ครับ ลุงบอกว่าป้าคนที่คุยกับผมวันนั้นเป็นคนพาผมมาอยู่ที่นี่….สบายดีครับ…มีเพื่อนเยอะ…ไม่มีใครรังแก…ได้กินทั้งวัน…มีครูสอนหนังสือด้วย” เมื่อถามถึงแม่ เด็กน้อยไม่ได้มีอาการเศร้าหมองขณะตอบว่า
“คิดถึงครับ แต่ที่นี่ก็มีแม่เหมือนกัน…หลายคนด้วย…ใจดี ไม่มีใครตีผมเลย”
เป็นอันว่าภารกิจของฉันได้จบลงอย่างสวยงาม…อนาคตของเอกจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครตอบได้ แต่วันนี้การที่เขาได้อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ได้กินอิ่มสามมื้อ และมีโอกาสได้เรียนถึงปริญญาตรี ก็นับเป็นความสำเร็จสูงสุดของฉันแล้ว อีกทั้งฉันยังมั่นใจว่าเขาจะไม่เติบโตขึ้นมาเป็นอาชญากรค้ายาบ้า ที่ต้องจบชีวิตลงในคุกเหมือนพ่อของเขา…ไม่เป็นฆาตกรข่มขืนแล้วฆ่าเด็กสาวคนไหนให้หัวใจคนเป็นพ่อแม่ต้องปวดร้าวอีก เพราะคนชั่วเหล่านั้นล้วนมีประวัติมาจากครอบครัวที่แตกแยกหรือเคยถูกทารุณกรรมมาก่อนแทบทั้งสิ้น การลงโทษที่ปลายเหตุด้วยวิธีการรุนแรงแค่ไหนคงไม่อาจยุติปัญหานี้ได้ดีเท่าการแก้ที่ต้นเหตุ
หากวันนั้นฉันไม่หันกลับไปฟังเรื่องราวของเอกจากคุณพยุง…ไม่ยอมสละเวลาเพียง 5 นาทีเพื่อคุยกับเอกและจดเบอร์คุณพยุงไว้…หรือมัวแต่ยุ่งกับเรื่องส่วนตัวจนลืมโทร.ไปหาศูนย์ประชาบดี…อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กน้อยคนนี้?!…หรือถ้าเขาสามารถรอดชีวิตอยู่ได้อีกสิบปีข้างหน้า สังคมของเราก็คงไม่พ้นที่จะมีคนชั่วเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับเด็กแบบเอกอีกจำนวนมากที่เราได้พบเห็นแต่มองข้ามไป เพราะคิดว่า “ไม่ใช่ลูกใช่หลาน” โดยนึกไม่ถึงว่าในอนาคตพวกเขาอาจกลายเป็นคนที่ทำร้ายลูกหลานของเราเอง หรือก่อเหตุสะเทือนขวัญให้เราต้องเศร้าสลดครั้งแล้วครั้งเล่า…
และทุกคนก็จะก่นด่าหรือสาปแช่งคนชั่วเหล่านั้น ทั้งที่บางทีสาเหตุอันแท้จริงอาจมาจากการที่เราไม่ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราในปัจจุบัน…แล้วเราจะคาดหวังอนาคตอันงดงามได้อย่างไร?
(เพียงแค่หันไป)
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ทิพถวิล
บทความน่าสนใจ
หนูน้อยกตัญญูสู้ชีวิต ตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง ต้องคอยดูแลตายายเพียงลำพัง
หนูน้อยอดีตผู้ป่วยมะเร็งขอรับบริจาคของเล่นในวันเกิดเพื่อนำไปให้เด็กป่วย