บททดสอบ จากเทวดา ชีวิตของ “แพรว” นักเขียนนิยายด้วยปลายนิ้ว
แรกเกิด ฉันเป็นเด็กหญิงที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงทุกประการ 25 ปีต่อมา ฉันไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงสักครั้ง แต่ฉันกลับกลายเป็นคนพิการที่ขยับร่างกายได้เพียง “ข้อนิ้ว”
ฉันเป็นลูกสาวคนแรก จึงเป็นขวัญใจของทุกคนในบ้าน จนอายุราวหนึ่งขวบ แม่เริ่มสังเกตว่าฉันยืนเท้าซ้ายบิดในลักษณะงอเข้า ท่านกังวลมากจึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาล คุณหมอให้ฉันใส่เฝือกดัดเท้าอยู่พักหนึ่ง
หลังถอดเฝือก เท้าของฉันยังคงบิดผิดรูปมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่จึงพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้คุณหมอแนะนำว่าควรผ่าตัดย้ายกล้ามเนื้อ ฉันต้องผ่าตัดย้ายกล้ามเนื้อจากน่องมาเติมที่ใต้ฝ่าเท้าครั้งแรกด้วยวัยเพียงขวบเศษเท่านั้น
เมื่อฉันเข้าเรียนชั้นอนุบาล อาการเท้าบิดไม่หายขาด หมอแนะนำให้ฉันใส่รองเท้าที่ตัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีเฝือกอ่อนรองเท้าและข้อเท้าอยู่ด้านใน ฉันจำได้ดีว่าในห้องเด็กอนุบาลมีฉันเพียงคนเดียวที่กระโดดโลดเต้นไม่ได้
หลังจากขึ้นชั้นประถมศึกษา ร่างกายฉันแย่ลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถใช้เท้าเดินขึ้นบันไดได้ ต้องใช้มือทั้งสองข้างช่วยโหนราวบันได แล้วดึงตัวเองขึ้นไปทีละขั้น ฉันจึงมักเข้าห้องเรียนช้า และรู้สึกอายเพื่อนมากจนถึงกับไม่ยอมเข้าห้องน้ำตลอดทั้งวัน
ร่างกายของฉันไม่เหมือนคนปกติอีกต่อไป นิ้วมือทั้งสองข้างหงิกงอ นิ้วหัวแม่มืองุ้มเข้า ข้อมือทั้งสองข้างก็งอเข้าเหมือนมือลิงกระดูกสันหลังคดเป็นรูปตัวเอส (S) ซี่โครงข้างขวาโป่งออกมา ส่วนซี่โครงข้างซ้ายถูกดันยุบไปตามความคดของกระดูกสันหลัง ไหล่ข้างขวาสูงกว่าข้างซ้าย คอเบี้ยว พร้อมกับหัวที่เอียงไปทางซ้ายตามลำตัวที่เอียงลงไปสะบักข้างขวาโก่งเหมือนคนหลังค่อม และสะโพกก็สูงต่ำไม่เท่ากัน ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้แม้แต่หมอก็ไม่สามารถหยุดมันได้
ขณะอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หมอวินิจฉัยว่าฉันป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง พร้อมนัดผ่าตัดอีกครั้งเพื่อดามเหล็กที่หลังเพื่อให้ร่างกายของฉันยังคงตั้งตรงอยู่ได้ การผ่าตัดได้ผลเพราะหลังของฉันกลับมาตั้งตรงเหมือนคนอื่น ๆ แต่มีข้อเสียว่า ขาฉันไม่สามารถเดินได้อีก ต้องนั่งรถเข็นตลอดไป
พ่อเป็นดั่งซูเปอร์แมนสำหรับฉัน ทุกครั้งที่เปลี่ยนวิชาเรียน พ่อจะคอยอุ้มพาฉันย้ายห้องเรียน ฉันจึงเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่มีพ่อมานั่งรอในช่วงท้ายคาบ โชคดีที่เจ้านายของพ่อคือป้าของฉันซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อ พ่อจึงไม่มีปัญหากับที่ทำงาน แม้ต้องมาอุ้มฉันแทบทุกชั่วโมงเรียน
ปีต่อมา ฉันอยู่ชั้น ป. 5 เริ่มมีอาการไอแห้ง ๆ แบบไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งก็ไอเป็นชุดจนเหนื่อยแทบหมดแรง แม่และพ่อพาฉันไปหาหมอทุกที่ที่เขาว่าดี ทั้งโรงพยาบาลใหญ่ คลินิกดัง คลินิกฝังเข็ม หรือกระทั่งหมอผี แต่อาการไอก็ไม่หาย ต่อมาภายหลังอาการไอก็หายไปเสียเฉย ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเพลีย ง่วงนอนตลอดเวลา บางครั้งถึงกับวูบหลับในห้องเรียนจนตกเก้าอี้ก็มี หลังจากแม่ทราบเรื่องก็รีบพาฉันไปพบหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดีอีกครั้ง ขณะนั่งรอหมอมาดูอาการอยู่นั้น ฉันเริ่มรู้สึกง่วง
“แม่ หนูนอนได้หรือเปล่า”
จำได้ว่านี่คือคำถามสุดท้ายก่อนหลับไป ตื่นขึ้นมาก็ประหลาดใจมากเมื่อพบว่าตัวเองมีเครื่องช่วยหายใจครอบปากและจมูก แม่เล่าว่าฉันหลับลึกมาก ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น จนหมอต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา น่าแปลกที่ฉันกลับรู้สึกงุนงงมากกว่าหวาดกลัว และยังนึกเสียดายด้วยซ้ำที่ฉันรอดจากความตายอันแสนง่ายและสบายที่สุดมา สงสัยเทวดาคงอยากให้ฉันยังมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมต่อไปกระมัง
หมอเล่าว่า สาเหตุที่ฉันสลบไปเพราะมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง ในขณะที่ปอดของฉันเริ่มอ่อนแรงลงเช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย หมอจึงลงความเห็นว่าฉันต้องใส่เครื่องช่วยหายใจก่อนนอนทุกคืนเพื่อช่วยปอดทำงาน ไม่อย่างนั้นฉันอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไป
วันหนึ่งขณะที่ฉันใกล้จะจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พ่อก็เดินเข้ามาบอกฉันว่า
“จบ ม. 3 ก็ไม่ต้องเรียนแล้วนะลูกไปทำงานกับพ่อดีกว่า อีกหน่อยพ่อก็อุ้มไม่ไหว เรียนจบไปก็ไม่มีงานทำ ขนาดคนดี ๆ ยังตกงานเลย”
ฉันยอมทำตามพ่อแต่โดยดี แม้จะรู้สึกเสียใจมาก เพราะจากนี้ไปฉันจะไม่ได้เรียนหนังสืออีกแล้ว
หลังเรียนจบ ม. 3 ชีวิตวัยรุ่นของฉันแวดล้อมด้วยพ่อ แม่ และน้องสาวเท่านั้น แน่นอนว่าฉันสนิทกับแม่มากที่สุด แม่ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ทั้งป้อนข้าว อาบน้ำ ดูแลสารพัด การไม่ได้ไปโรงเรียนทำให้ฉันที่ค่อนข้างขี้อายอยู่แล้วกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่อยากไปไหนนอกจากอยู่บ้าน บ่อยครั้งที่ฉันทะเลาะกับพ่อแม่ซึ่งเกิดจากความเก็บกดในใจฉันเอง ฉันงี่เง่า เอาแต่ใจ ก่นด่าโชคชะตา และที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันโทษพ่อกับแม่ที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้
ชีวิตประจำวันของฉันเริ่มสงบลงเรื่อย ๆ เมื่อฉันติดการอ่านนิยาย น่าแปลกที่ยิ่งอ่าน ความคิดฟุ้งซ่านในวัยรุ่นของฉันเริ่มลดไปทีละน้อย ๆ ความคิด คำสอน รวมถึงจริยธรรมที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครทุกตัวกลายเป็นครูของฉัน ความรู้สึกที่เคยเป็นดั่งเด็กหลงทาง เริ่มเปลี่ยนเป็นการคิดอย่างมีเหตุผล มีสติมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ฉันมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย
การชอบอ่านนิยายทำให้ฉันกลายเป็นคนรักการเขียน และเริ่มต้นเขียนนิยายขายเพราะหวังจะหาเงินเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว เวลานั้นพ่อกำลังป่วยเป็นโรคเบาหวาน ส่วนน้องสาวก็กำลังเรียนปริญญาตรี ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ฉันรู้สึกเสมอว่า เราก็โตขึ้นทุกวัน ขณะที่พ่อแม่แก่ลง คงน่าละอายมากถ้าในอนาคตน้องสาวต้องทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูฉันอีกคน
ทุกวันฉันจะใช้สันนิ้วก้อยมือข้างซ้ายที่ยังขยับได้เพียงนิ้วเดียวกดแป้นพิมพ์นิยายจากโทรศัพท์มือถือ ฉันไม่มีประสบการณ์ใด ๆ นอกจากความตั้งใจล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว วันทั้งวันฉันพิมพ์ได้เพียงครึ่งหน้าถึงหนึ่งหน้า A4 หนึ่งปีผ่านไปฉันก็เขียนนิยายเรื่องแรกจบ ในขณะที่ส่งต้นฉบับไปเสนอหลายสำนักพิมพ์ ฉันเริ่มเขียนนิยายเล่มที่สอง สาม สี่ และห้า แม้จะยังไม่มีวี่แววว่าสำนักพิมพ์จะติดต่อมา แต่ก็มีความหวังและเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
กลางปี พ.ศ. 2554 พ่อล้มป่วยอย่างหนักด้วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ปอดอักเสบ และน้ำตาลในเลือดสูง ไม่กี่วันต่อมาฉันก็ติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ไปด้วย ซ้ำร้ายฉันยังเป็นหนักกว่าพ่อมากเพราะปอดฉันติดเชื้ออย่างหนักเพิ่มด้วย
กลับจากโรงพยาบาล ฉันหายใจด้วยตัวเองไม่ได้และพูดไม่เป็นภาษา ใบหน้าข้างซ้ายของฉันก็ขยับลำบาก กินข้าวยาก กินน้ำก็ไหลออกจากมุมปาก ฉันพบว่าการยิ้มเป็นเรื่องยากมาก กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าของฉันเริ่มควบคุมไม่ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งถาโถมเข้าหาฉันไม่หยุดหย่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มกลัวว่าในอนาคตฉันอาจจะตาบอด หูหนวก หรืออาจเกิดอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ได้ ฉันควรทำอย่างไรดี
หลังจากคิดมาก อมทุกข์อยู่หลายวัน ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์นิยายอยู่นั้น จู่ ๆ ฉันก็เข้าใจความจริงที่ว่า “ดีแล้วที่ฉันมีความทุกข์ เพราะทุกข์สอนอะไรเรามากมายกว่าความสุข นี่คงเป็นบททดสอบของเทวดา ท่านคงมองเห็นศักยภาพในตัวฉัน จึงส่งบททดสอบที่ยากกว่าคนอื่นมาให้” คิดได้แบบนั้นฉันก็ยิ้มให้ตัวเองได้อีกครั้ง
นิยายของฉันได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ถึง 8 เล่ม และฉันเขียนหนังสือประวัติของตัวเองอีก 1 เล่ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงคนอื่น ๆ ฉันเริ่มมีเงินเก็บมากพอจะช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้อย่างไม่ขัดสน
วันนี้ฉันได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำแล้วรวมถึงได้ตอบแทนคุณทุกคนที่ฉันรักอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย ไม่ว่าต่อไปชะตาชีวิตของฉันจะเป็นเช่นไร ฉันก็พร้อมยิ้มสู้รับมันด้วยใจที่มีความสุข
ข้อคิดคำสอนจากพระ ดร.นิตินัย อุดมกัน วัดป่าเมตตาวนาราม จังหวัดเชียงราย
ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไป แม้แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงต่อสู้ อดทน เผชิญหน้า และแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น โดยใช้สติปัญญา และศีลธรรมเป็นเครื่องดำเนินชีวิต ไม่ต่างจากเรื่องราวของคุณเพทาย เห็นได้ชัดว่าเธอผ่านบททดสอบความอดทน ความเพียรพยายาม และมีกำลังใจเข้มแข็งเป็นอย่างดี ซึ่งจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความดีงามนี้ย่อมบังเกิดเป็นความอัศจรรย์ ที่แม้แต่เทวดายังต้องอนุโมทนาด้วย
เรื่อง เพทาย จิรคงพิพัฒน์ เรียบเรียง ชลธิชา แสงใสแก้ว ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา
บทความน่าสนใจ
หัวใจนักสู้ของผู้ชาย “ตัวเล็ก” – เรื่องจริงของชายพิการใจสู้
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองพิการ” เจษฎา เทพบันเทิง
ชายชรา กับเด็กพิการสมองอัจฉริยะ : Jim Bradford & HK Derryberry
Morgan’s Wonderland สวนน้ำคนพิการแห่งแรกของโลก
ฮาซาน กิซิล พ่อพระของสัตว์พิการ