เคล็ดลับสู่ความงาม ความสุข และความสำเร็จ ของ อาภัสรา หงสกุล

หลายครั้งที่ซีเคร็ตมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้หญิงสวยแต่ในครั้งนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงสวยธรรมดา แต่สวยระดับ
จักรวาลการันตี เธอคืออาภัสรา หงสกุล นางงามจักรวาลคนที่ 14 และเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย
ในวันนี้ที่ยังสวย (เกินวัย) แม้ตัวเลขอายุจะเดินทางมาถึงเลข 69 แล้วก็ตาม

ทุกวันนี้ภาพของการเป็นนางงามจักรวาลยังแจ่มแจ้งหรือค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาครับ

ก็ยังมีความทรงจำอยู่นะคะ เพราะมีคนมาสัมภาษณ์เรื่อยๆ บางคนก็มาขอดูเทปการประกวด ทำให้ยังไม่ลืม แต่ปกติถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่ค่อยได้เอาเทปเหล่านี้มาดูเท่าไร เพราะทำธุรกิจ (อาภัสรา บิวตี้สลิมมิ่ง สปา) เลยไม่ค่อยมีเวลาค่ะ

 

ย้อนกลับไปในตอนนั้น การได้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกคงไม่ต่างจากความฝัน

ค่ะ ตอนประกวดยังเด็กมาก แม้แต่ตำแหน่งนางสาวไทยก็ไม่คิดว่าจะได้ แต่จริงๆ ก็เคยแอบฝันเล็กๆ ว่าอยากเป็นนางสาวไทยและนางงามจักรวาล แต่ไม่กล้าบอกใคร?กลัวถูกหัวเราะเยาะว่ากล้าคิดขนาดนี้เชียวหรือ ครั้งหนึ่งเคยนั่งกับเพื่อน แล้วคิดว่าตัวเองกำลังสวมมงกุฎ จึงเผลอโบกมือออกมา เพื่อนถามว่า คิดอะไรอยู่ แก้ตัวว่าคิดเรื่องเรียน เพื่อนบอกว่า ดูท่าทางไม่เหมือนเรื่องเรียน ถ้าคิดเรื่องเรียนทำไมต้องโบกมือ (หัวเราะ)

จนวันหนึ่ง หม่อมเจ้ารัชนีพัฒน์ รัชนี เพื่อนคุณพ่อซึ่งเป็นศิษย์เก่าวชิราวุธ และเป็นคณะกรรมการจัดงานประกวดนางสาวไทย มาที่บ้านท่านเห็นรูปที่แขวนไว้ จึงถามคุณพ่อว่าทำไมไม่ให้ลูกสาวประกวดเผอิญว่าที่บ้านชื่นชมการประกวดนางสาวไทยอยู่แล้ว ตัวคุณพ่อค่อนข้างเป็นศิลปิน ตั้งแต่เด็กท่านชอบพาไปดูหนังฮอลลีวู้ด อีกอย่างท่านป้า (สว่างจิตต์ คฤหานนท์ หลังแต่งงานได้ใช้นามสกุลตามสามี คือพลอากาศเอก หะริน หงสกุล) ก็เคยเป็นนางสาวไทย ขณะที่พี่สะใภ้ (กรรณิการ์ หงสกุล) ก็เคยเป็นรองนางงามวชิราวุธอันดับหนึ่ง พอท่านรัชนีชวน คุณพ่อก็เห็นด้วยทันที ตอนนั้นยังเรียนไฮสกูลอยู่ที่ปีนังสอบเสร็จกำลังจะปิดเทอมก็ได้รับโทรเลขจากคุณพ่อให้กลับมาประกวดถึงเมืองไทยได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็ขึ้นเวทีเลย

แค่ได้รับตำแหน่งนางสาวไทยก็ดีใจที่สุดแล้ว แต่พอไปประกวดนางงามจักรวาล ผลปรากฏว่าเราได้ มันยิ่งกว่าฝัน ตอนสวมมงกุฎยังงงๆ ไม่อยากจะเชื่อ ตอนเช้าของอีกวันอดีตมิสยูนิเวิร์สเข้ามาคุยด้วย เขาถามว่าตอนนี้เชื่อหรือยังว่าคุณได้เป็นมิสยูนิเวิร์สจริงๆ นั่นแหละถึงเชื่อว่าไม่ได้ฝัน ที่ปลื้มใจและเป็นพระมหากรุณาธิคุณคือ ก่อนไปประกวดได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าฯด้วย พระองค์ท่านทรงรับสั่งให้ทำตัวเป็นไทยมากที่สุด จึงใส่ชุดไทยทุกวันและโชว์ฉุยฉายพราหมณ์ในการแสดงความสามารถพิเศษ

 

ในทางธรรม ทั้งชื่อเสียงและความสวยต่างเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง คุณปุ๊กเองมีวิธีดูแลทั้งสองอย่างนี้อย่างไรเพื่อให้ยังคงอยู่กับตนเองได้นานๆ

ต้องรู้ว่าทั้งชื่อเสียงและความงามเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา และเป็นความจริงที่ว่าไม่จีรัง ชื่อเสียงขึ้นอยู่ที่การกระทำและการวางตัวแต่โดยเนเจอร์เราเป็นคนค่อนข้างระมัดระวังตัวอยู่แล้ว แม้ไม่เป็นนางงามจักรวาลก็คิดเสมอว่าเราต้องทำตัวให้มีค่า ต้องทำในสิ่งที่ดี ไม่ใช่แค่รักษาชื่อเสียงเพราะเป็นนางงามจักรวาล แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร สวยหรือไม่สวย รวยหรือจน ก็ควรให้คุณค่าแก่ตัวเองและภูมิใจในตัวเอง เพราะถ้าเราไม่ให้เกียรติตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ใครจะมาให้ค่าเรา ในทางกลับกัน ถ้าเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ทำตัวไม่มีค่า คุณค่าก็หมดไปได้เช่นกัน

ขณะที่ความสวย ถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ เราต้องดูวัยของเรา ไม่ใช่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบความสวยกับคนที่อายุน้อยกว่า แล้วว่าตัวเองว่าทำไมสวยไม่เท่าเขา การจะพิจารณาความสวยในตัวเองต้องมองด้วยธรรมะในใจ ไม่ใช่หลงกับรูปกาย ถามว่าเราดูแลตัวเองไหม ก็ยังดูแล แต่เป็นการชะลอเท่าที่จะทำได้ การชะลอวัยไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ทุกวันนี้พยายามบอกกับพนักงานที่สปาว่า ในการทำงานเราสามารถทำบุญได้ด้วย เพราะการที่เราทำให้เขาสวยสมใจ ช่วยคนอ้วนให้ผอม ให้สวย ให้ผิวพรรณดี จะทำให้เขามีความสุข การทำให้คนมีความสุขก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง การทำงานด้วยความตั้งใจจึงได้ทั้งเงินและบุญ

 

มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมบ้างไหมครับ

ได้ไปตอนคุณโจ้บวชประมาณ 7 วัน ก็ถือศีล รับประทานมื้อเดียว และนอนเสื่อ นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าฟังธรรมะแล้วเข้าใจโล่ง เหมือนได้ขับกิเลสจากตัว เทียบกับไปทะเลแล้วแม้จะได้พักผ่อนแต่สมองอาจจะยังคิดนู่นคิดนี่ แต่ 7 วันที่ปฏิบัตินั้นไม่คิดอะไรเลยปล่อยวาง จึงได้พักทั้งสมองและร่างกาย ตื่นขึ้นมาตาใส กลับมากรุงเทพฯมีคนทักว่าไปทำอะไรมา ทำไมสวยขึ้น ผอม หน้าตาผิวพรรณดูดีขึ้น คิดว่าคงเป็นเพราะธรรมะนี่แหละที่ช่วยขัด ทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ จริงดังคำที่ว่า “ความสุขเหนือความสงบไม่มี” แม้แต่ความกลัวก็หายไป ปกติจะขี้กลัว แต่ช่วงที่ปฏิบัติ เดินกลับจากวัดมาที่พักกลางคืน บรรยากาศเงียบสงัด แต่กลับไม่รู้สึกอะไร

ถึงตอนนี้ก็นำธรรมะมาใช้ในชีวิตค่อนข้างมาก อย่างการศึกษาใจตัวเอง แค่มีธรรมะในใจ ใจเราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี อะไรที่เคยบอกว่ารับไม่ได้ ตอนนี้ก็รับได้ ธรรมะทำให้เราตื่นมาแล้วรู้ว่าโลกนี้เหมือนโรงละคร ทุกอย่างคือสิ่งสมมุติ ร่างกาย สังขาร ทรัพย์สิน ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ เวลามีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิต เราก็ใช้ความเชื่อเรื่องเวรกรรมมาชำระ ที่เจอเรื่องร้ายอาจเป็นเพราะเราเคยทำไม่ดีในชาติที่แล้วพอคิดได้อย่างนี้ ใครทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่ไปทำเขากลับ

ส่วนตัวแล้วคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั้นให้ผลดียิ่งกว่าสปาอีก คนไปสปาเมื่อรู้สึกว่าผิวพรรณไม่สวย ใจยุ่งกับงาน พอได้นวดนอนหลับไปชั่วคราวตื่นขึ้นมาจะรู้สึกผ่อนคลาย แต่กลับถึงบ้านอาจกลับไปคิดถึงปัญหาอีก ผิดกับธรรมะ โล่งทั้งกายและใจ กลับถึงบ้านก็ยังรู้สึกดี

 

ถึงตอนนี้ ก่อนนอน ระหว่างทาครีมกับสวดมนต์ ใช้เวลากับอย่างไหนมากกว่ากันครับ

สวดมนต์ค่ะ ราวครึ่งชั่วโมง ทำทุกวัน แต่ถ้าไม่มีเวลาก็จะทำอาทิตย์ละครั้ง แต่สวดนานเป็นชั่วโมง ทาครีมนี่ไม่นานเท่าไร เพราะปกติทำอยู่แล้วที่สปา ก่อนนอนเลยไม่ต้องทำอะไรมาก

 

ย้อนไปตอนประกวดนางงามจักรวาล ถ้าจับได้คำถามว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างเงินและอำนาจ คุณจะเลือกอะไร จะตอบว่า…

ทั้งสองสิ่งนี้อยู่ที่ใครมากๆ ก็ทำให้ทุกข์ได้ทั้งนั้นนะคะ…ถ้ามีเงินคุณจะเอามันไปสร้างอำนาจก็ได้ หรือจะเอาไปทำความดีหรือทำบุญก็ได้เช่นกัน คนมีเงินสามารถทำอะไรได้มากกว่าคนที่ไม่มี เอาไปสร้างสิ่งดีๆให้คนอื่นได้ แต่อำนาจใช่ว่ามีแล้วจะไม่ดี คุณสามารถใช้อำนาจไปทำสิ่งที่ดีๆ ก็ได้ จริงๆ เลือกได้ทั้งสองอย่าง อยู่ที่ว่าคนนั้นๆ ชอบอะไรและได้มาแล้วใช้มันเป็นหรือเปล่า ถ้าตอบว่าเลือกอำนาจ เดี๋ยวคนก็หาว่าสร้างภาพ (หัวเราะ) ขอเลือกเงินแล้วกันค่ะ ได้มาแล้วจะเอาไปช่วยสังคม

 

ผู้หญิงบางคนอาจจะรู้สึกเสียใจถ้าแต่งงานแล้วต้องเลิกราถึงสองครั้ง คุณปุ๊กเองคิดกับเรื่องนี้อย่างไรครับ

คิดว่าเราคงทำบุญมากับคนมากกว่าหนึ่งคน แม้รักกันดี แต่ก็มีเหตุให้เลิกราเพื่อไปพบกับคนที่สอง กับคุณชายตอนเลิกก็ไม่ได้โกรธกันไม่เคยทะเลาะ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรายังเด็ก มีทิฐิ หมั้นตอนอายุสิบเก้าปีแล้วก็แต่งเลย ไม่เคยเดท?เจอกันในงาน 2 – 3 ครั้ง ท่านก็ให้ผู้ใหญ่มาขอ เราเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ดีเลยยอม แต่อย่างที่บอกเลิกกันก็ยังไปมาหาสู่ เป็นห่วงเป็นใยเสมอ

ขณะที่คุณสุทธิเกียรติก็ยังดูแลเราดีเช่นกัน ถามว่าหลังจากนี้ถ้ามีคนเข้ามาจะคิดอย่างไร คิดว่ามีคนรักดีกว่าคนเกลียด แต่ขอเป็นเพื่อนดีกว่า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้มีเรื่องให้สนใจมากกว่า ไม่ว่าเรื่องงานหรือลูก ขณะเดียวกันก็อยากเข้าหาทางธรรมให้มากขึ้นชีวิตคู่มันอยู่ที่ใจ ไม่แต่งงานก็อบอุ่นได้ เผลอๆ อาจจะอบอุ่นกว่าด้วย เพราะแต่งแล้วอาจจะร้อนๆ หนาวๆ (หัวเราะ)

 

บั้นปลายของชีวิตอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหมครับ

อยากทำอะไรเพื่อสังคมมากกว่านี้ ตอนนี้อายุมากแล้ว เวลาก็เหลือน้อยเต็มที แต่รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรเท่าไร ไม่ว่าจะทำบุญหรือทำทาน ไม่อยากแบบว่าใกล้ตายค่อยคิดว่า “อุ๊ย ฉันยังไม่ได้ทำนั่นนี่เลย” ถึงตอนจะตายไม่อยากให้มีอะไรติดค้าง จะตายก็ตายเลย จะว่าไปชีวิตที่ผ่านมาก็เคยเกือบตายหลายหน

สมัยเป็นมิสยูนิเวิร์สขณะเดินทางรอบโลกก็เคยแพ้ยาเกือบตายถึงขนาดชัก ดีที่อยู่กับพี่เลี้ยงแล้วเขาช่วยไว้ทัน ช่วงอายุสามสิบกว่าหลังคลอดลูกคนที่สอง ไปผ่าตัดนิ่วแล้วแพ้ยา หัวใจหยุดเต้นไป 4 ชั่วโมง ตอนแรกคุณหมอจะไม่ยื้อแล้ว หลายท่านวอล์คเอ๊าต์จากห้องไป เผอิญว่ามีท่านหนึ่งไม่ยอมปล่อย เพราะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอะไรมากและไม่ได้ป่วยเป็นโรครุนแรง สักพักเขาเห็นน้ำตาเราไหลออกมา เลยรีบปั๊มหัวใจช่วยจนฟื้น

พอผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้ว ทำให้คิดที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ถ้ามีโอกาสก็อยากไปถือศีลและทำบุญอีก ทำเหมือนตอนที่โจ้บวช เพราะนั่นทำให้เรารู้จักธรรมะจริงๆ ทำให้รู้ถึงความสุขในชีวิต เมื่อก่อนเวลามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทุกข์แล้ว แต่หลังจากศึกษาธรรมะก็ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น เหมือนเป็นผลบุญที่ย้อนกลับมาหา


Secret Box

The best and most beautiful things can not be seen or even touched, they must be felt with the heart.

สิ่งที่ดีที่สุดและสวยงามที่สุดมิอาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ทางกาย ทว่าต้องรับรู้ด้วยหัวใ


เรียบเรียง สหัสวรรษ  ภาพ อิทธิศักดิ์ บุญปราศภัย

*** บทสัมภาษณ์นี้เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร Secret เมื่อ 6 ปีก่อน***

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.