เล่าเรื่อง กรรม ย้ำให้ทำดี กับ “เจน ญาณทิพย์” (จบ)
แม้ว่าดิฉัน (เจน ญาณทิพย์) จะมีญาณทิพย์สามารถเห็น กรรม อดีตปัจจุบัน และอนาคตของผู้อื่นได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต ดิฉันไม่เคยสอนให้ใครยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ แต่สอนให้ทุกคนที่ได้พานพบ “พึ่งสติและปัญญาของตัวเอง” และดิฉันจะใช้ญาณช่วยเหลือเฉพาะคนที่กำลัง “จมน้ำ” มองไม่เห็นหนทางใดในชีวิตเท่านั้น
ที่สำคัญ ดิฉันเป็นแต่เพียงผู้ชี้แนะทางสว่าง ไม่ใช่ผู้ที่จะมาแก้กรรมให้ใครหายทุกข์ หายร้อน หายเจ็บ หายป่วย ได้ในพริบตา ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของคนคนนั้น ดิฉันไม่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากไหน…เป็นคนธรรมดาที่ยังเวียนว่ายตายเกิด มีสุข มีทุกข์ มีเจ็บ มีป่วยไม่ต่างจากคนอื่น
ใครที่ต้องการเข้าถึงความรู้แจ้งและสงบเย็นต้องเรียนรู้ศึกษาโลกและชีวิตให้ถึงแก่นแท้ ต้องรู้จักถือสิ่งที่ควรถือ ต้องรู้จักวางในสิ่งที่ควรวาง รู้จักเก็บในสิ่งที่ควรเก็บ รู้จักทิ้งในสิ่งที่ควรทิ้ง มิฉะนั้นจะมีแต่หลงทางวนเวียนอยู่ไม่รู้จักจบสิ้น
รับกรรมชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า
เมื่อมีใครมาหา ส่วนใหญ่ดิฉันมักจะทายทักถึง กรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ เพราะเจ้าตัวจะรู้ดีที่สุดว่าทำกรรมอะไรไว้บ้าง เพื่อให้เขาระลึกนึกถึงความผิดพลาดที่เคยกระทำมาและจะได้สำนึกในการกระทำนั้นๆ
ช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมามีผู้คนมากมายมาหาดิฉัน พวกเขาต่างมีความทุกข์กันไปต่างๆ นานา นอกจากจะช่วยชี้แนะแนวทางให้พวกเขาแล้ว ดิฉันก็ขออนุญาตนำเรื่องราวของเขามาเผยแพร่ในหนังสือ “ภารกิจ delete กรรม” เจน ญาณทิพย์ (สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ) เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้คนอื่นๆ ได้เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม
ดังเรื่องราวของชายคนนี้ที่ติดต่อมาหาดิฉันและบอกว่าตัวเองโดนผีเข้ามาหลายสิบปีแล้ว แต่เมื่อเขามานั่งตรงหน้าและอนุญาตให้ดิฉันเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ ดิฉันจึงทราบว่าเขาโกหก เพราะเขาไม่ได้ถูกผีเข้าแต่อย่างใด ทว่ากรรมของเขาส่งผลให้ตัวเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงและมีความต้องการทางเพศกับผู้ชายด้วยกันตลอดเวลา
เขายอมรับว่าเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ทุกวันนี้เขาต้องซื้อบริการทางเพศจากผู้ชายที่มาขายตัวตามสวนสาธารณะต่างๆ นอกจากนั้นเขายังมีอาการทางจิต คือเป็นคนรักสะอาดมาก สังเกตได้ว่าเขาจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทุกอย่างที่สัมผัส เช่น ลูกบิดประตู เก้าอี้ที่นั่ง ฯลฯ
ดิฉันเห็นแล้วให้นึกสงสาร จึงแนะนำให้เขาหมั่นถือศีลให้บริสุทธิ์ เริ่มจากการสวดมนต์ รักษาศีล และกรวดน้ำให้กับคนที่เขาเคยหลับนอนด้วยทุกคน
ผู้ชายคนนี้บอกว่า เขาจะทำตามที่ดิฉันแนะนำทุกอย่าง แต่วันนี้ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม อย่างไรก็ขอซื้อบริการทางเพศกับผู้ชายก่อน เขาทนไม่ได้…ขาดผู้ชายไม่ได้จริงๆ นี่ขนาดเพิ่งจะแนะนำไปหยกๆ ยังพูดแบบนี้อีก ดิฉันจึงเตือนสติเขาไปว่า
“ดิฉันเตือนคุณแล้ว! แต่คุณยังจะไปทำกรรมเพิ่มอีก คุณรู้ตัวไหมว่าคุณเป็นโรคเอดส์แล้ว ดิฉันขอแนะนำให้คุณไปตรวจเลือด ดิฉันรู้ดีว่าคุณรักความสะอาดมาก แต่ทำไมคุณไม่กลัวโรคเอดส์ หากคุณไปซื้อบริการจากผู้ชายเหล่านั้น พวกเขาก็จะติดเอดส์จากคุณไปด้วย ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มบาปเพิ่มกรรมให้ตัวเอง”
ดิฉันเชื่อว่า ในสังคมไทยยังมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนผู้ชายคนนี้ การทำผิดศีลข้อ 3 นอกจากจะต้องตกนรกแล้ว ในชาตินี้
ชีวิตของเขาก็จะหาความปกติสุขไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจ ยิ่งถ้าจิตไม่มั่นคงพอ ไม่ทำบุญกุศลใดๆ ชีวิตของเขาก็จะไหลไปตามกระแสแห่งกรรมที่เคยทำมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ตามหาศพจมน้ำที่จังหวัดพิจิตร
นอกจากนั้น ที่ผ่านมาดิฉันได้ใช้ญาณช่วยตามหาศพของเด็กผู้หญิง 2 คนซึ่งจมน้ำที่จังหวัดพิจิตร คุณครูเป็นคนส่งเรื่องราวมาหาทางอีเมล (jenyantip@hotmail.com) โดยเล่าว่า ครอบครัวของเด็กสองคนนี้ยากจน เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่มีเงินทองมากนักพ่อแม่ต้องกู้ยืมเงินเพื่อจ้างนักประดาน้ำให้งมศพของลูก แต่ก็ยังหาศพไม่เจอ ฟังเรื่องราวแล้ว ดิฉันตัดสินใจว่าจะช่วย จึงขอให้คุณครูส่งรูปของน้องทั้งสองคนและสถานที่เกิดเหตุมาให้ดู
ดิฉันนั่งสมาธิอยู่ 3 คืนติดต่อกัน เพื่อจะติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของเด็กสองคนนี้ และแล้วคืนหนึ่งดิฉันก็ได้พูดคุยกับน้องคนแรก ในญาณ น้องพาดิฉันไปดูว่าศพอยู่ตรงไหน เมื่อดูแล้วดิฉันกะประมาณว่าศพอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 5 กิโลเมตร สภาพศพของน้องมีแต่ตัวไม่มีศีรษะ ร่างกายเป็นสีน้ำตาล ใกล้กับศพน้องจะมีบ้านไม้โปร่ง ใต้ถุนสูงอยู่หลังหนึ่ง ส่วนริมน้ำหน้าบ้านจะมีขอนไม้ยาวประมาณ 3 เมตรและร่างของน้องติดอยู่ตรงนั้น
ในช่วงน้ำท่วมปลายปี2554 น้องคนนี้จมน้ำหายไปในแม่น้ำน่านที่เชี่ยวกรากพร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคน เจ้าหน้าที่กู้ภัยทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีทางหาศพเจออย่างแน่นอน ที่สำคัญ ผ่านไปหลายวันแล้วศพอาจจะถูกปลากินไปแล้วก็ได้ ครั้งนั้นเนื่องจากดิฉันไม่สะดวกที่จะเดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยตัวเอง จึงอธิบายให้คุณครูฟังว่าศพอยู่ตรงไหน ส่วนคุณครูก็เรี่ยไรเงินบริจาคจากคนแถวนั้น เพื่อนำเงินที่ได้ไปจ้างเรือมาหนึ่งลำพร้อมชาวบ้านอีกหนึ่งคนเพื่อช่วยดำน้ำหาศพ หลังจากนั้น คุณครูพร้อมพ่อแม่ของเด็ก และชาวบ้านที่จ้างมาเพื่อให้ดำน้ำหาศพก็นั่งเรือไปยังจุดที่ดิฉันบอก และในที่สุดก็เจอศพของน้องเหมือนที่ดิฉันบอกทุกประการ คือเป็นศพไม่มีศีรษะ จมอยู่ใต้ขอนไม้ และห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตรจริงๆ
ตัวดิฉันเองไม่เคยเดินทางไปจังหวัดพิจิตรมาก่อน ไม่ทราบว่าแม่น้ำน่านไหลเชี่ยวขนาดไหน ไม่ทราบว่าบ้านเรือนของคนริมน้ำแถวนี้เป็นอย่างไร เหตุการณ์นี้จึงน่าจะตอบข้อสงสัยของใครหลายคนได้ว่า สิ่งที่ดิฉันรู้เป็นความจริง!
ใครก็ตามที่มาหาดิฉัน คำแนะนำที่ได้รับคือ ขอให้หมั่นทำความดีด้วยการให้ทานรักษาศีล และเจริญภาวนา โดยดิฉันได้ตั้งชมรมวิปัสสนาญาณขึ้นที่วัดวิมุตยาราม (เชิงสะพานพระราม 7) เพื่อชักชวนให้คนที่รู้จักและไม่รู้จักได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยกันทุกวันอาทิตย์ โดยดิฉันจะเป็นผู้จัดเตรียมข้าวปลาอาหารและน้ำปานะไว้ให้
ชมรมวิปัสสนาญาณแห่งนี้จะมีการสอนให้เข้าใจในกรรมเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นทาสของกรรม ซึ่งทางพระพุทธศาสนาสอนให้ทุกๆ คนพิจารณาหลักธรรมเนืองๆ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ทำกรรมชั่ว ประกอบแต่กรรมดี ดังนั้น ที่เขาพูดกันว่าแก้กรรมได้นั้น ไม่ใช่แก้กรรมเก่า แต่แก้กรรมใหม่ด้วยการไม่กระทำกรรมแบบเดิมซ้ำอีก กรรมเก่านั้นเราต้องรับและชดใช้ ซึ่งเราสามารถใช้การนั่งสมาธิ การปฏิบัติธรรมช่วยแก้ไขกรรมหนักให้เป็นเบาได้เท่านั้นเอง
โลกนี้มีแต่ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรได้ดังใจเรา มันมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นมาและเมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างนั้นๆ เรื่องเช่นนั้นก็ต้องเกิดขึ้น เราจึงต้องปลง ส่วนจะจัดการแก้ไขต่อไปอย่างไร ก็ต้องดูว่ามีเหตุปัจจัยให้แก้ไขได้หรือไม่
การที่เราจะหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องรอชาติหน้าหรือชาติไหน เพราะปัจจุบันชาติ ปัจจุบันขณะ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ เป็นโอกาสเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำให้ตัวเองหลุดพ้น
ถึงตรงนี้ ดิฉันก็ขอย้ำคำเดิมว่า “ดิฉันไม่สามารถแก้กรรมให้ใครได้” แต่สิ่งที่ทุกคนทำให้ตัวเองได้คือ การทำกรรมใหม่ที่เป็น “กรรมดี”
อดีตนั้นผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึงปัจจุบันนี่สิที่สำคัญ เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าทำกรรมเช่นไรก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น แล้วคุณจะไม่คิดเก็บเกี่ยวเสบียงบุญให้ตัวเองเลยหรือ…ลองคิดดูให้ดีนะคะ
บทความน่าสนใจ
กรรมของ คนเห็นแก่ตัว คืออะไร เรามีคำตอบมาฝาก
Dhamma Daily : เราสามารถ ชนะกรรม ได้หรือไม่
เล่าเรื่องกรรมย้ำให้ทำดี กับ “เจน ญาณทิพย์” (1)
น้ำใจแม่ค้า เรื่องยิ้ม ๆ ของเจ๊หน่อย แม่ค้าใจบุญ
“ เอา บุญ มาฝาก ” ทำไมต้องกล่าวแบบนี้ ? วันนี้เรามีคำตอบมาฝาก