ความลับของ หลุยส์ สก๊อต ผู้ชายที่ใครๆ ก็ตกหลุมรัก
หนุ่มลูกครึ่งไทย สกอต จีน คนนี้ เรามักคุ้นเคยเขาในฐานะนักแสดงหนุ่มผมยาว เจ้าของรอยยิ้มหวาน
อันทรงเสน่ห์ พร้อมบุคลิกน่ารัก แลดูอบอุ่นไม่เหมือนใครในขณะที่หลายคนอาจคุ้นตากับภาพเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก กระโดดโลดเต้นจับไมค์ร้องเพลงบนเวทีอย่างสนุกสนานตั้งแต่หลายปีก่อนมากกว่าแต่ไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาในฐานะใด ก็มั่นใจว่าเขา หลุยส์ สก๊อต คงเคยสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้คุณได้ไม่มากก็น้อย
คุณหลุยส์เติบโตมาในครอบครัวแบบไหนคะ
ผมโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ครับคุณพ่อเสียตั้งแต่ผมอายุสี่ขวบ คุณแม่เลี้ยงผมและพี่ชายมาลำพังคนเดียว คุณแม่ต้องเปลี่ยนชีวิตใหม่ทั้งหมด จากที่เคยเป็นแม่บ้านมาตลอด ก็ต้องออกไปหางานทำเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่ากับข้าวและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทุกอย่าง แต่โชคดีที่คุณพ่อมองการณ์ไกล ท่านวางแผนเตรียมเงินค่าเทอมของผมและพี่ชายเอาไว้ตั้งแต่ก่อนท่านเสียแล้ว เพราะโรงเรียนของผมค่าเทอมแพงมาก เทอมละประมาณสามแสนบาท รวมค่าเทอมของเราสองพี่น้องก็ตกปีละหนึ่งล้านสองแสนบาท แต่ถึงอย่างนั้น คุณแม่ก็ยังต้องแบกรับภาระอื่น ๆ อยู่ดี ซึ่งผมเพิ่งมารู้ตอนทำงานแล้วว่า รายจ่ายของครอบครัวในแต่ละเดือนสูงมาก แต่คุณแม่ก็ไม่เคยบ่นเลยสักครั้ง ไม่เคยแม้แต่จะหงุดหงิดใส่ลูกด้วยซ้ำ ผมเห็นท่านก้มหน้าก้มตาทำงานลูกเดียว ทั้งทำงานข้างนอก ทำงานบ้านและยังต้องดูแลลูกชายที่ซนอย่างกับลิงตั้งสองคนอีก ถึงแม้ตอนนั้นผมจะเด็กมากแต่ก็เห็นสิ่งที่แม่ทำเพื่อเรามาตลอดจนชินตา
แล้วช่วงนั้นคุณหลุยส์ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของคุณแม่บ้างหรือเปล่าคะ
ช่วยครับ แต่ก็ไม่มาก ส่วนใหญ่ผมจะช่วยทำความสะอาดบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆเช่น เก็บที่นอนตัวเอง ล้างจาน เช็ดโต๊ะแค่นี้ก็จะออกไปวิ่งเล่นแล้ว จำได้ว่ามีวันหนึ่งผมและพี่อยากหางานพิเศษทำเพื่อเอาเงินไปช่วยแม่ มองไปมองมาเห็นนักเรียนช่างกลกำลังนั่งอ๊อกเหล็กกันอยู่ก็เลยเข้าไปถามเขาว่าได้เงินเท่าไร พอรู้ว่าได้เงินเดือนละ 2,500 บาทเท่านั้นแหละ เราตาโตกันใหญ่ โหย-ย-ย…อยากได้เงินเยอะ ๆแบบนั้นบ้าง พวกเรารีบวิ่งกลับบ้านไปขออนุญาตแม่ พอท่านทราบก็โวยวายใหญ่ว่า“พวกยูอายุแค่ 10 ขวบ จะไปทำงานอันตรายแบบนั้นได้ยังไง เอาเวลาไปอ่านหนังสือตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จัดการเองได้ ” ผมกับพี่ก็เลยจ๋อยกันทั้งคู่ (หัวเราะ)
ผมเริ่มช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงินของคุณแม่ได้จริง ๆ ก็ตอนอายุ 11 ขวบ ที่เข้าวงการบันเทิงเป็นนักร้องวงแร็พเตอร์นั่นแหละครับ ตอนนั้นเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ค่อยได้ใช้เงินคุณแม่ จริง ๆแล้วผมก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินตัวเองด้วยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำแต่คุณแม่ก็ยังต้องเหนื่อยกายอยู่ดี เพราะนอกจากจะต้องทำงานแล้ว ท่านยังต้องคอยไปรับ–ส่งผมตามงานโชว์ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯแทบทุกวันด้วย แต่แม่ก็ทำทุกหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้ง พอผมอายุประมาณ 15 ปี ก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้นเลยตัดสินใจขอให้แม่ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผมอย่างเดียว เงินทุกบาทที่หาได้ ผมก็ให้แม่เป็นคนจัดการทั้งหมด ผมไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ซึ่งแม่ก็ยอมทำตามคำขอร้องของผม และคอยดูแลผมมาตั้งแต่นั้นครับ
ดูแลกันและกันดีแบบนี้ คำสอนของคุณแม่ข้อไหนที่รู้สึกประทับใจมากที่สุดคะ
“ความจำเป็น” ครับ คุณแม่ชอบเตือนเสมอว่า จำเป็นไหม จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ไหม จำเป็นที่จะต้องพูดแบบนี้ไหมจำเป็นหรือเปล่า เคยมีครั้งหนึ่งค่ายอาร์เอสพาศิลปินในค่ายทั้งหมดไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นฟรี ขากลับทุกคนก็ซื้อของกลับบ้านกันกระหน่ำมือ แต่ผมซื้อดินสอกลับบ้านแค่แท่งเดียว เพราะเป็นดินสอสีที่เมืองไทยไม่มี ใคร ๆ ก็มารุมถามว่า ทำไมซื้อน้อยจังผมบอกว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อ ทั้ง ๆ ที่ในใจผมอยากได้รองเท้าคู่หนึ่งมากเลยนะ แต่คิดทบทวนหลายรอบแล้ว รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องซื้อ เพราะที่บ้านมีรองเท้าตั้งสองคู่แล้วยังใส่ได้ดี ไม่ขาดเลย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนก็ล้อว่าผมเป็นคนขี้งก แต่ผมก็งกจริง ๆนั่นแหละครับ (หัวเราะ) ผมคิดเยอะน่ะครับและอีกอย่าง ผมเห็นคุณแม่เหนื่อยมาตลอดแล้วด้วย ไม่อยากให้ท่านกลับไปเหนื่อยอีก
ทราบมาว่านอกจากดูแลคุณแม่แล้วยังช่วยจ่ายค่าเทอมให้พี่ชายไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย
ใช่ครับ ตอนเป็นนักร้อง ผมแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลยนอกจากทำงานจะได้ไปโรงเรียนก็วันศุกร์ เพื่อไปรับการบ้านเอามาทำเท่านั้น แต่สจ๊วต (พี่ชาย) ไม่ได้ทำงาน เขาได้เรียน ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติ พอเรียนจบ เขาก็อยากไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่เงินทุนการศึกษาของคุณพ่อหมดเกลี้ยงตั้งแต่เราจบไฮสกูลแล้วเราสามคนแม่ลูกจึงปรึกษากันจนได้ข้อสรุปว่า หลุยส์จะช่วยเรื่องเงินค่าเรียน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในช่วงแรกไปก่อน พอสจ๊วตเรียนจบแล้ว ก็ค่อยกลับมาช่วยกันดูแลครอบครัว ดูแลแม่ เหมือนเป็นการลงทุนชีวิตด้วยกันครับ
ช่วงที่หายไปจากวงการ ไม่มีชื่อเสียงและแทบไม่มีเงินเข้ามาเหมือนเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไรคะ
ขอเล่าก่อนว่า วงแร็พเตอร์มีนักร้องสองคน คือ ผมและจอห์นนี่ เราทำงานด้วยกันทุกวัน เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีวันหยุดเลยตั้งแต่อายุ 11 ปี พอผ่านมาแปดปี พวกเราเป็นวัยรุ่นอายุ 19 ปี ก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยล้ามาก-ก-ก…จนวันหนึ่งจอห์นนี่ทนไม่ไหว ตัดสินใจเดินเข้าไปบอกกับผู้ใหญ่ตรง ๆ ว่า เขาขออนุญาตกลับไปเรียนต่อ ซึ่งสุดท้ายผู้ใหญ่ท่านก็ยอมรับการตัดสินใจของจอห์นนี่ วงแร็พเตอร์ก็เลยต้องยุบไปโดยปริยาย ส่วนผมก็เหนื่อยมากนะ แต่เพราะเป็นลูกแม่ ก็เลยคิดว่าตัวเองยังทนไหว ผู้ใหญ่ก็เลยให้ผมออกอัลบั้มเดี่ยว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ สุดท้ายผมก็ออกมาเรียนปริญญาตรีต่อ หลังจากที่พักการเรียนไปถึงสี่ปี โดยใช้เงินที่เก็บสะสมไว้ซึ่งก้อนใหญ่พอสมควร มาจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ชีวิตช่วงนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรเลย เป็นเด็กเนิร์ดตั้งใจเรียนอย่างเดียว แต่พอเรียนจบปุ๊บผมถึงมาคิดว่าเราจะประกอบอาชีพอะไรดีเพราะถ้าให้ทำงานนั่งโต๊ะ ผมคงไปไม่รอดแน่ ๆ คงนั่งขาสั่น เพราะผมอยู่นิ่งไม่ได้(หัวเราะ) โชคดีที่อาตู่ (นพพล โกมารชุน)ให้โอกาสเล่นละครเรื่อง เหนือทรายใต้ฟ้าเป็นเรื่องแรก สักพักก็เริ่มมีเรื่องอื่นส่งบทมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ผมมีงานถ่ายละครทุกวัน ผมก็เข้าใจว่า อ๋อ…สงสัยเราคงมาทางนี้แล้วละ (หัวเราะ)
ทีมงานละครหลายเรื่องแอบกระซิบว่า รู้สึกชื่นชมและเอ็นดูคุณหลุยส์มาก คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอะไรคะ
ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนมาก ๆ ครับ อาจเป็นเพราะผมพูดคุย คอยเอาใจใส่คนอื่นในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ละมังครับ บางวันผมอยู่กับทีมงานถ่ายละครตั้งแต่กลางคืนถึงเช้าของอีกวัน ผมเห็นพวกเขาทำงานกันตลอดเวลา ทั้งยกไฟ ขนของ ดูแลทุกอย่าง ไม่เหมือนผมที่เป็นดารา เข้าฉากแค่บางซีน แล้วก็ได้พักในห้องแอร์ แต่ทีมงานเขายืนถ่ายข้างนอกกันมาตั้งแต่เทปแรกแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเหนื่อยกว่าผมหลายเท่า ผมมักจะคิดเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ ถ้าเห็นใครทำหน้าเหนื่อย ๆเพลียมาก ๆ ผมจะทำหน้าแบบนี้ (ทำหน้ายิ้มทะเล้น) แล้วบอกให้เขาสู้ ๆ อีกนิดเดียวหรือไม่ก็หาเรื่องตลก ๆ มาเล่าให้ได้เฮฮากันเล่นมุกแป้กบ้าง ทำตัวติงต๊องบ้าง (หัวเราะ)แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ทีมงานได้หัวเราะความเหนื่อยก็หายไปได้แป๊บหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาลุยงานกันต่อ ผมว่าถ้าเราเปลี่ยนทุกอย่างให้สนุก ให้เป็นแง่ดี งานก็จะออกมาดี คนที่เราทำงานด้วยเขาก็ยิ้มแย้มมีความสุข เราก็จะสนุกและมีความสุขไปด้วย
เป็นลูกครึ่งที่พ่อแม่อาจจะนับถือศาสนาต่างกัน ตัวคุณหลุยส์เองนับถือศาสนาอะไรคะ
คุณพ่อผมเป็นคริสเตียน คุณแม่นับถือพุทธ ส่วนผมก็นับถือศาสนาพุทธครับ จริง ๆ ผมจะเลือกนับถือศาสนาอะไรก็ได้นะครับ คุณแม่ไม่ได้บังคับ ผมเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้เราทำในสิ่งที่ดี แต่เหตุผลที่ทำให้ผมชอบพุทธศาสนา เพราะผมเป็นคนไทย และอีกเหตุผลคือ ผมว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีคอมมอนเซ้นส์หรือความเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตเลยนะ เช่น ถ้าผมรู้สึกหมั่นไส้แล้วเดินไปตีหัวผู้ชายคนหนึ่งเขาก็จะหันมาต่อยผมคืนทันที มันคือคอมมอนเซ้นส์ที่เราไปทำร้ายเขาก่อน เขาก็ย่อมจะหันมาทำเรากลับ ไม่ใช่เป็นเพราะมีใครดลใจ แม้แต่การนั่งสมาธิก็เหมือนกันสำหรับผม คือการเตรียมความพร้อมของจิตใจตัวเอง ไม่มอง ไม่สนใจคนอื่น คอยรู้ทันใจตัวเอง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงอะไรทั้งหมด คอมมอนเซ้นส์คือ ใจเราก็จะเย็น พอไปคุยกับใคร เขาก็จะใจเย็นตามไปด้วย แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะเกิดตามมาเองพุทธศาสนาสอนผมให้เข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีครับทำงานหนักทุกวันอย่างนี้
มีโอกาสไปทำบุญบ้างไหมคะ
ทำตามวาระโอกาสครับ อาจเพราะผมรู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นคอมมอนเซ้นส์ครับ ดังนั้น ถ้าผมรู้สึกอยากจะทำบุญ
เมื่อไร หรือพอมีเวลาช่วงไหน ก็ค่อยไปทำบุญก็ได้ ผลของบุญจึงออกมาดี เพราะเราไม่รู้สึกถูกบังคับ ไม่อึดอัดใจ อย่างช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าวัดทำบุญสักเท่าไร ก็หาโอกาสทำบุญในกองถ่ายนี่แหละครับ ทั้งการทำให้คนอื่นยิ้มได้ ทำให้เขามีความสุข ผมก็จะสุขไปด้วย แค่นี้ผมก็ได้บุญแล้ว แต่ถ้าเป็นการทำบุญที่วัด ส่วนใหญ่ผมจะชอบไปวัดที่เชียงใหม่ มีเวลาปุ๊บก็เข้าวัดปั๊บ บางทีไปนั่งฟังพระเทศน์ สนทนาธรรมกับท่าน บางทีก็ถวายสังฆทานบ้าง หรือไม่ก็แค่ไปนั่งดูโบสถ์ ดูนกใต้ต้นไม้ นั่งนิ่ง ๆทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อย จะรู้เลยว่าใจเราสบาย สงบ ไม่ตึง ไม่เครียด เป็นความรู้สึกที่ดีมาก วัดเป็นสถานที่ที่ผมอยู่แล้วสบายใจ ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจจะเป็นผู้ให้ แต่กลับได้ความสุขใจกลับมามากกว่าเสียอีก
เรื่องลับเล็ก ๆ ที่คุณอาจไม่รู้กับทรงผมยาวตลอดกาลของหลุยส์ สก๊อต
“สาเหตุที่ไว้ผมทรงนี้มาตลอดเพราะความเคยชินและกลัวไม่รอดครับ จำได้ดีเลยว่า เคยลองตัดผมสั้นครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอ้วนกว่านี้ พอตัดแล้วหูกาง หน้าเด๋อ รู้สึกไม่รอด ไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยกลับมาไว้ผมยาวเหมือนเดิมแต่คิดว่าถ้าแก่กว่านี้…สัก 50คงไม่สนใจแล้วจะไว้ทรงไหนก็ได้ที่สระง่ายที่สุด” (หัวเราะ)
เรื่อง ชลธิชา แสงใสแก้ว ภาพปก วรวุฒิ วิชาธร
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ ปาลรินทร์ กฤษบุญชู สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด
แต่งหน้าและทำผม ภูดล คงจันทร์
บทความน่าสนใจ
อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ! มาดู 5 วิธีวางตัวเพื่อเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ใครเห็นก็รัก!
ปรับความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน เรื่องราว “การปรับความคิด” ของดาราหนุ่มทั้ง 3 คน
10 อันดับ ข้อคิด เรียนรู้ชีวิตจากดารา ศิลปิน คนดัง – นิตยสาร Secret
10 ดารากับ 10 วิธีทำบุญ ตาม มรรควิธี10 ไปดูกัน มีใครบ้าง