ความจริงแล้วดิฉัน (ติ๋ว – อรสา พรหมประทาน) เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงมาก ไม่ค่อยเจ็บป่วยเป็นโรคอะไร ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และชอบเล่นกีฬาแบดมินตันเป็นประจำ
เพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการต่างรู้ดีว่าเป็นคนร่าเริง แจ่มใส ไม่มีเรื่องเครียดอะไร แต่สำหรับโรคบางอย่าง บางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ดูแลตัวเองดีแค่ไหน มันก็เกิดขึ้นจนได้ ดังเช่นโรคเส้นโลหิตฝอยในสมองของดิฉันแตก
ชีวิตเฉียดความตาย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2551 ตอนนั้นเพื่อนๆ ในวงการที่รักใคร่ชอบพอกันชวนไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่ขณะที่ดิฉันกำลังเดินชมสถานที่ต่างๆ ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจอยู่นั้น พลันก็เกิดอาการปวดหัวแปล๊บขึ้นมา แถมเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเป็นลมและที่แย่ไปกว่านั้นคือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตามมาอีกด้วย ตอนนั้นป้าแจ๋ว – ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์ เห็นอาการก็เข้ามานวดเฟ้นให้จนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงโรงแรมหมอชาวอินเดียก็เข้ามาฉีดยากันอาเจียนและให้ยาลดความดัน หลังจากนั้นอาการของดิฉันก็เหมือนจะดีขึ้น
จนกระทั่งกลับมาถึงประเทศไทย เพื่อนสนิทคือ คุณก้อย – ทาริกา ธิดาทิตย์ และน้องที่สนิทกันคือ คุณอัญญา กันอริ ก็พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยมี นายแพทย์วัชระพงศ์ แซ่ซืออายุรแพทย์ และ นายแพทย์ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ อายุรแพทย์ประสาทวิทยา เป็นผู้ตรวจรักษา จำได้ว่าวันที่ไปหาหมอคือเช้าวันที่16 พฤศจิกายน 2551 ดิฉันบอกเล่าอาการของตัวเองกับคุณหมอไปว่าปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ และเสียงแหบ
หลังจากนั้นคุณหมอให้ดิฉันเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดทุกระบบ เช่น ตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ช่องท้องทั้งหมด และเอกซเรย์สมองด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลการตรวจเลือดพบว่ามีเม็ดเลือดขาวต่ำ ระดับคอเลสเตอรอลสูง ระดับไขมัน LDL สูงผลอัลตราซาวนด์ช่องท้องเป็นปกติ ผลเอกซเรย์สมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์พบว่ามีแคลเซียมเกาะที่ผนังหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นการอุดตันของเส้นเลือด คุณหมอจึงให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น
จนกระทั่งช่วงกลางคืน วันที่ 17 พฤศจิกายน ดิฉันมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น คุณหมอจึงให้ดิฉันรับการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ผลพบว่ามีเลือดในเยื่อหุ้มสมองซึ่งน่าจะเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดดำใหญ่ของสมอง หลังจากนั้นคุณหมอก็ให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นต่อไป
ต่อมาในช่วงดึกของคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน ต่อช่วงเช้าของวันที่ 20 พฤศจิกายน ดิฉันมีอาการปวดศีรษะมากขึ้น และกระสับกระส่าย ม่านตาด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากันหนังตาตก หมอจึงย้ายออกจากห้องพักปกติไปยังแผนกผู้ป่วยวิกฤติ(ICU) ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งคุณหมอยังได้ทำการตรวจ Cerebral Angiogram ซึ่งเป็นการตรวจหลอดเลือดสมองโดยการฉีดสี แต่ก็ไม่พบว่ามีหลอดเลือดโป่งพองแต่อย่างใด
ช่วงเวลานี้ คุณอัญญาเล่าว่าดิฉันไม่รู้สึกตัวแล้ว จนล่วงเข้าวันที่21 พฤศจิกายน คุณหมอให้ดิฉันเข้าเอกซเรย์สมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง คราวนี้พบว่ามีปริมาณเลือดในเยื่อหุ้มสมองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โพรงสมองมีน้ำเพิ่มมากขึ้น คุณหมอจึงลงความเห็นให้ผ่าตัดเพื่อใส่สายระบายน้ำในโพรงเยื่อหุ้มสมองออก
หลังจากนั้นดิฉันเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น แต่แขนขายังอ่อนแรงขยับได้เล็กน้อย แขนขาข้างซ้ายขยับได้ง่ายกว่าข้างขวา หลังจากตรวจสมองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ซ้ำอีกครั้ง พบว่าน้ำในโพรงเยื่อหุ้มสมองลดลง แต่ยังคงมีไข้อยู่ ส่วนความดันโลหิต ชีพจร และอัตราการหายใจเป็นปกติ
ช่วงที่อยู่ในภาวะโคม่า ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองหลับสบาย ไม่ได้ฝันหรือเห็นอะไรเลย มีความรู้สึกว่าโล่ง เบา แต่ครั้งแรกที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้น ดิฉันตกใจมาก สับสนไปหมดว่าทำไมอยู่ดีๆ หัว แขน ขาถึงกระดิกไม่ได้ ตกใจจนร้องไห้ ไม่คิดว่าตัวเองจะป่วยจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะก่อนที่คุณหมอจะนำตัวเข้าห้องไอซียู ดิฉันสลบไปพอฟื้นขึ้นมาอีกทีไม่คิดว่าตัวเองจะอาการหนักขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ดิฉันเพิ่งมารู้ความจริงจากคุณหมอว่า อาการป่วยของดิฉันมีโอกาสรอดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โอ้…คิดแล้วได้แต่บอกตัวเองว่า รอดมาได้เพราะฝีมือของคุณหมอและบุญจริงๆ ทุกวันนี้จึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะถ้าวันนั้นกลับจากอินเดียแล้วเพื่อนไม่รีบพาไปหาหมอ หรือคุณหมอไม่ดูแลอย่างใกล้ชิด ป่านนี้ชีวิตดิฉันคงจะเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการได้
ระหว่างที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงพระกรุณาประทานแจกันดอกไม้มาเยี่ยมอาการดิฉัน โดยมี หม่อมราชวงศ์สมลาภ กิติยากรราชเลขานุการในพระองค์เป็นผู้แทนนำมามอบ มี คุณเศรษฐา ศิระฉายาและเพื่อนดาราศิลปินเป็นตัวแทนรับประทานแจกันดอกไม้ ยังความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณแก่ครอบครัวดิฉันเป็นล้นพ้น
ดิฉันขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่เป็นห่วงเป็นใยไปเยี่ยมและถามไถ่อาการ เช่น คุณทาริกา ธิดาทิตย์ คุณพิศมัย วิไลศักดิ์ คุณดวงใจ หทัยกาญจน์ คุณมยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช คุณอรัญญา นามวงศ์ คุณสรวงสุดา ชลลัมพี คุณวรายุฑ มิลินทจินดา คุณอรุโณชา ภาณุพันธุ์ คุณเพชรี พรหมช่วย รวมทั้งท่านอื่นๆ อีกมากมาย ที่แสดงน้ำใจกับดิฉันในครั้งนั้นด้วย
เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ด้วยใจอดทน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของดิฉันหลังรอดตายก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะต้องทำกายภาพบำบัดอย่างจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน ต้องอดทนกับความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่
วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล ดิฉันเดินไม่ได้เลย ผลจากการนอนนิ่งๆ ตอนป่วยอยู่เกือบสัปดาห์ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายหายไปทำให้ต้องฝึกเดิน ฝึกพูด ฝึกขับรถใหม่ทั้งหมด
วันแรกที่กลับไปถึงบ้าน ดิฉันดีใจจนน้ำตาไหลที่มีโอกาสกลับมาพบหน้าลูกๆ คือสุนัขและแมวที่เลี้ยงไว้อีกครั้ง นึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้มีวันนี้ได้…
ทุกวันนี้ร่างกายของดิฉันสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ ความทรงจำยังดีเหมือนเดิม มีเพียงการพูดเท่านั้นที่มีปัญหานิดหน่อยในการออกเสียง เพราะลิ้นจะแข็ง อย่างคำว่า “สาวสวยใส่ส้นสูง” หรือ “สีแสด” ดิฉันจะพูดไม่ชัด ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอีกสักระยะ
ส่วนในเรื่องการทำงาน โชคดีที่ผู้จัดละครทุกคนยังไว้วางใจมอบงานให้มาตลอด ดิฉันจึงยังสามารถทำงานในวงการนี้ได้ต่อไปแม้ว่าจะเข้าสู่วัย 58 ปีแล้วก็ตาม ชีวิตที่ผ่านมาของดิฉันเรียกได้ว่าไม่ได้โสดตลอด บางช่วงก็มีคนแวบๆ เข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกวันนี้ดิฉันก็อยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรแต่ดิฉันก็พบว่าการอยู่คนเดียวเป็นชีวิตที่มีความสุขดี
ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ดิฉันขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด คือขออย่าให้ป่วยต้องนอนเป็นผักเป็นปลาให้คนอื่นดูแลรักษาเลย ถ้าจะ“ไป” ก็ขอให้ “ไป” แบบหลับไปเลยดีกว่า
เมื่อก่อนดิฉันคิดแต่เพียงว่าตัวเองเป็นคนโสด ต้องรีบเร่งทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ ตอนแก่จะได้ไม่ลำบาก ในชีวิตเคยทำงานหนักถึงขนาดขับรถหลับในแล้วไปชนกับรถสิบล้อมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเราต้องรู้จักใช้ชีวิตแบบพอดีๆ มีความสุขแบบพอดีๆ เก็บสะสมเงินทองแบบพอดีๆ
ดิฉันคิดว่าถ้าเรารู้จัก “พอ” เพียงคำเดียว ชีวิตเราก็แคล้วคลาดจากเรื่องร้ายๆ ไปได้เยอะแล้วค่ะ