หนูแหม่มไม่ทราบว่าสำหรับคนอื่นๆ ชีวิตขับเคลื่อนด้วยอะไรแต่สำหรับตัวหนูแหม่มเอง ชีวิตที่ผ่านมาถูกผลักดันด้วยความโกรธและความกลัวล้วนๆ แล้วด้วยอารมณ์ที่ว่านี้เองที่ทำให้หนูแหม่มเป็นทุกข์
ภาพหนูแหม่มที่ปรากฏบนหน้าจอทีวีคือผู้หญิงขาวอวบ ขี้เล่นอารมณ์ดี มุกแพรวพราว ทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ แต่อีกมุมหนึ่งที่หากคนไม่ใกล้ชิดจริงๆ จะไม่รู้คือ เป็นคนอ่อนไหวง่าย จึงทำให้เจ็บปวดเสียใจได้ง่ายเช่นกัน
หนูแหม่มไม่รู้ว่าได้บ่มเพาะความโกรธ ความกลัวให้เกิดขึ้นในจิตใจตั้งแต่ตอนไหน แต่ ณ วินาทีนี้หนูแหม่มมองเห็นว่าปัญหาในชีวิตของตัวเองมาจากความโกรธและความกลัว
โกรธคนอื่นได้ง่ายๆ ถ้าสิ่งที่เขาทำไม่ได้อย่างที่ใจหนูแหม่มคิด
กลัวคนไม่รัก ทั้งพ่อแม่พี่น้อง รวมทั้งคนดูที่ชื่นชอบเรานี่เป็นความกลัวอันดับแรก ถัดมาเป็นกลัวความจน กลัวว่าจะต้องพบเจอกับชีวิตที่ลำบากลำบนเหมือนในอดีต และกลัวความตายต่อให้อย่างไรเราก็ไม่คิดว่าตัวเองจะตายก่อนคนที่รัก คิดว่าจะสามารถอยู่ค้ำฟ้าไปได้อีกนาน ดังนั้นเรื่องตายอย่ามาพูดกับหนูแหม่ม
สิ่งเดียวที่ตอบได้อย่างมั่นใจว่าไม่กลัวเหมือนดาราคนอื่นๆ แน่ๆคือ หนูแหม่มสามารถไปเดินห้างสรรพสินค้าได้โดยไม่แต่งหน้าไม่กลัวเลยสักนิด เพราะนี่เป็นความสุขเล็กๆ ที่ทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนผู้คนที่พบเห็นคุ้นชินกับหน้าตาแบบนี้ของเราแล้ว
พอพูดเรื่องหน้าตา อยากเล่าย้อนอดีตให้ฟังอีกนิดว่า หนูแหม่มเป็นลูกครึ่งที่เติบโตมาจากความรักและเอาใจใส่ของพ่อแม่ ตายายที่ตำบลท่าแร่ จังหวัดสกลนคร มีแม่เป็นครูเสริมสวยสอนตัดเย็บเสื้อผ้า ตอนเด็กๆ ไม่มีเลยสักครั้งที่หนูแหม่มจะเฉลียวใจว่าเราไม่ใช่ลูกของท่าน เพราะต่อให้เราไม่ร่ำรวย แต่สายใยรักในครอบครัวของเราเหนียวแน่น น้องสาวสองคนทั้งรักและยอมหนูแหม่มมาโดยตลอด
จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป ครอบครัวของเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯนั่นแหละ จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า หนูแหม่มไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่จริงๆ แต่เป็นลูกเพื่อนที่แม่ขอมาเลี้ยง แค่นั้น จบข่าวเพียงแค่นั้นมากกว่านี้ไม่มีใครอยากพูดถึง เพราะกลัวหนูแหม่มจะคิดมาก
การไม่ใช่ลูกแท้ๆ สอนให้หนูแหม่มยอมรับความจริง บางคนอาจจะนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเองไปตลอดชีวิตแต่หนูแหม่มไม่ เพราะต่อให้เป็นลูกนกลูกกาลูกหลงที่ไหน ถ้าครอบครัวเข้มแข็งอบอุ่น สิ่งนี้ก็ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น จนทุกวันนี้หนูแหม่มไม่ถามแม่เลยสักคำ เพราะถือว่าชีวิตเรามีความสุขพอแล้ว
หนูแหม่มเติบโตแบบคนที่มั่นใจ เรียกได้ว่ามั่นใจเกินไปด้วยซ้ำเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เรียนพาณิชย์ เริ่มจากการเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง วัยระเริง คิดดูแล้วกันว่าหนูแหม่มอยู่ในวงการนี้มานานแค่ไหน เพราะเล่นเป็นเพื่อนนางเอกมาตั้งแต่สมัยวรรษมน วัฒโรดม ต่อด้วยอนุสรา จันทรังษี ทวินันท์ คงคราญ ลีลาวดี วัชโรบล ไล่มาจนถึงมาช่า วัฒนพานิช และคนอื่นๆอีกมากมาย
นอกจากนั้นยังได้รับโอกาสให้เป็นพิธีกรรายการ ยุทธการขยับเหงือก ที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดี รายการนี้มีหนูแหม่มเป็นพิธีกรหญิงคนเดียว แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะทั้งชีวิตของหนูแหม่มเนี่ยเพื่อนส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น ส่วนพิธีกรแต่ละคนก็เคยเล่นหนังเล่นละครมาด้วยกัน ทำให้เข้าขากันดี เช่น พี่กิ๊ก – เกียรติ กิจเจริญพี่ตุ๋ย – อรุณ ภาวิไล พี่ตา – ปัญญา นิรันดร์กุล พี่ติ๊ก กลิ่นสีและคนอื่นๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหน้าตากันมาเป็นพิธีกรรายการนี้
ตั้งแต่เด็กจนได้ทำงานทำการ หนูแหม่มใช้ “อารมณ์” นำหน้าเสมอ เป็นคนโกรธง่าย ขี้รำคาญ เวลาโมโหขึ้นมาต้อง “ฉะ” ตรงนั้นไม่มีเสียละที่จะเก็บจนอัดอั้นตันใจหรือทำตัวจ๋อง เศร้าซึม เครียดอะไรก็จะไปลงที่บ้านกับทุกคน กับแม่ สามี น้อง น้า ตั้งแต่จำความได้ เราถูกเลี้ยงมาแบบลูกคนโตที่ทุกคนเอาอกเอาใจ ทำให้หนูแหม่มคิดว่าเราควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้ โลกนี้อยู่ในอุ้งมือเรา ทุกคนต้องยอมให้เรา ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่สองรองใครเราต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ
ดังนั้นสิ่งที่เพื่อนร่วมงานและคนใกล้ชิดรับรู้ถ้วนทั่วกันคือหนูแหม่มเป็นคนเกรี้ยวกราด ก้าวร้าวกับเพื่อนร่วมงาน สามารถพ่นอารมณ์ร้ายๆ ทุกชนิดออกมาได้หมด ขนาดผู้ชายในรายการยุทธการขยับเหงือก 7 – 8 คนยังยอมหนูแหม่มเลย มีหรือที่ช่างแต่งหน้าทำผมจะกล้าหือกับหนูแหม่ม
แม้จะทำตัวแบบนั้น แต่ในใจลึกๆ หนูแหม่มก็ยังกลัว กลัวคนไม่รักอยู่เต็มอก แต่ความกลัวนี้ยังไม่สามารถสกัดกั้นความใจร้อนและพายุอารมณ์ของหนูแหม่มได้
จนวันหนึ่งช่วงที่เป็นพิธีกรอยู่นั้น มีน้องคนหนึ่งเพิ่งเข้ามาเป็นCo – producer วันนั้นเขาเห็นหนูแหม่มด่ากราดทุกคนหยาบๆ คายๆ อย่างที่ไม่คิดว่าคนดีๆ เขาจะพูดกัน น้องคงรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไปคุยกับหัวหน้า หัวหน้าเรียกหนูแหม่มไปคุย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ถามตัวเองว่า เราแย่ขนาดนั้นเลยหรือ ที่ผ่านมาดูตัวเองไม่เป็นไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิด เลยเข้าไปขอโทษน้องและบอกว่า “จะพยายามไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก” เห็นไหมคะ ต่อให้ยังไงก็ยังไม่คิดว่าจะควบคุมตัวเองได้ เพราะรู้ว่าเวลาโกรธ อะไรก็มาขวางหนูแหม่มไม่ได้ เรื่องจะให้บอกว่า “จะไม่ทำแบบนี้อีกเลย”…ยากค่ะ
ผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว หนูแหม่มไม่คิดว่าต้องเปลี่ยนอะไรมากมาย ยังปฏิบัติตัวเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งแต่งงาน ตัวตนของหนูแหม่มยิ่งปรากฏชัด
คุณบ๊อบบี้ สามีทักว่า “ผมถามนิดหนึ่งนะ ทุกครั้งที่แหม่มกลับมาถึงบ้าน ทำไมต้องรู้สึกโกรธตลอดเวลา ทั้งที่ตอนอยู่ข้างนอกสร้างความสุขให้คนนับหมื่นนับแสน แต่ทำไมกับคนสามสี่คนในบ้านกลับเกรี้ยวกราด” นี่เป็นคำพูดที่ทำให้หนูแหม่มคิดทบทวนอีกครั้งและคิดเพียงว่าจะพยายามควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้
ถ้านี่คือผลจากความโกรธที่สะท้อนให้หนูแหม่มเห็นตัวเองแล้ว เหตุการณ์หลังจากนี้คงเรียกว่าเป็นผลสะท้อนของความกลัวก็ว่าได้
ความที่กลัวคนอื่นจะไม่รัก หนูแหม่มจึงพยายามทุ่มเทเงินทองข้าวของให้คนรอบตัว เมื่อเปิดร้านทำเล็บของตัวเอง ลูกน้องหรือใครอยากยืมเงินหรือ…ได้เลย ใครเจ็บป่วยช่วยเหลือตลอด ช่วยไปถึงพ่อแม่ สามี ภรรยาเลยก็ว่าได้ เพราะคิดว่าถ้าทำให้คนที่เขารักมีความสุข เขาก็จะทำงานให้เราเต็มที่ กว่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำไม่ถูกต้อง ก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน
ส่วนคนในครอบครัว หนูแหม่มใช้วิธีให้และให้ทุกอย่างแบบไร้ขีดจำกัดมาโดยตลอด น้องต้องการอะไรขอให้บอก หนูแหม่มไม่เคยขัด ให้ได้ทั้งรถ เงิน ทอง บัตรเครดิต ใช้ได้ไม่อั้นทั้งๆ ที่ตอนนั้นน้องสาวอายุ 35 ปีแล้ว เพราะมีความรู้สึกว่า ในวันที่เราลำบาก เรายังมีครอบครัว พอเราสบาย เราก็อยากให้ครอบครัวเราสบายด้วย
แต่บ๊อบบี้ไม่เข้าใจ เพราะเขาเติบโตมาในวัฒนธรรมฝรั่ง เขามองว่าพออายุ 18 แล้วควรเลี้ยงดูตัวเอง ไม่มีการเอื้อเฟื้อจากครอบครัวแบบนี้
บ๊อบบี้รู้สึกว่าหนูแหม่มสปอยล์ครอบครัวเกินไป เขาเห็นว่าควรปล่อยให้พวกเขาทำอะไรเองบ้าง และควรแยกครอบครัวออกมา แรกๆหนูแหม่มไม่เชื่อ ตอนนั้นปัญหาลุกลามจนแทบจะเลิกกันอยู่รอมร่อแล้วค่ะ
หนูแหม่มกับบ๊อบบี้เกือบกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอยู่แล้ว แต่หนูแหม่มคงมีบุญอยู่บ้าง จึงรอดพ้นจากเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
อะไรมาช่วยชีวิตหนูแหม่ม ลองทายดูสิคะ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)