เคยมีคำกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่เล่นการเมือง การเมืองจะเล่นท่าน” เส้นทางชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากคำกล่าวนี้เท่าใดนัก
แม้ตัวเธอจะไม่เล่นการเมือง แต่ด้วยความที่เป็นบุตรีของ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้ร่วมอภิวัฒน์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจึงส่งผลกระทบถึงเธออย่างช่วยไม่ได้
ภายหลังการหลบหนีออกนอกประเทศของผู้เป็นบิดา ครอบครัวของเธอก็พลอยถูกการเมืองเล่นงานอย่างหนัก จนมารดาต้องตัดสินใจพาเธอและน้องหนีไปอยู่ต่างแดนซึ่งไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเวลาหลายปี
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดกาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ วันนี้เธอสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการและแผ้วถางทางชีวิตจนประสบความสำเร็จในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกการเรียนการสอนวิชาขับร้องคลาสสิกในประเทศไทย และกลายเป็น“ครูดุษ” ของลูกศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ดุษฎี พนมยงค์ได้สละเวลาอันมีค่ามาเผยถึงเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลากว่า 7 ทศวรรษของชีวิต ณ ที่พักในซอยสวนพลู ชื่อที่ถูกนำมาเป็นชื่อคณะนักร้องประสานเสียงซึ่งครูดุษเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขึ้นมา
ก่อนอื่นอยากให้ครูดุษช่วยเล่าถึงเรื่องราวเมื่อครั้งยังเด็กสักเล็กน้อยครับ
ดิฉันเป็นลูกคนที่ห้าของครอบครัวค่ะคุณพ่อกับคุณแม่มีลูก 3 รุ่น พี่ลลิตา กับพี่ปาล พี่สุดา กับ พี่ศุขปรีดา และดิฉันกับวาณี ตอนที่เกิด (ปี 2482) คุณพ่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ความที่ท่านเป็นคนมุ่งมั่นและคร่ำเคร่งกับเรื่องงานขณะเดียวกันเวลานั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านจึงมีภารกิจต้องทำเกี่ยวเนื่องกับขบวนการเสรีไทยค่อนข้างมาก จนสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดในปี 2488 เราจึงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันมากนัก
คุณแม่ต้องเป็นคนคอยดูแลลูก ๆในทุก ๆ เรื่อง ส่วนคุณพ่อก็ดูแลอยู่ห่าง ๆแต่ท่านก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและความเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในรอยทางเดียวกับคุณตา คือ พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ต้นตระกูล ณ ป้อมเพชร์คุณตาเคยกล่าวเอาไว้เมื่อ 150 ปีที่แล้วว่า “ถ้าไม่จน อยู่อย่างจน จะไม่จน ถ้าไม่รวยอยู่อย่างรวย จะไม่รวย” ซึ่งปัจจุบันมีคนเอาแนวคิดนี้ไปเอ่ยอ้างกันมากมาย นอกจากนั้นคุณแม่ก็สอนให้ลูก ๆ เดินสายกลาง ให้ใช้ชีวิตอย่างธรรมดา เรียบง่าย และติดดินถึงเป็นลูกรัฐมนตรีก็ไม่มีอภิสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้นฉะนั้นที่บ้านแม้จะเป็นครอบครัวนักการเมืองแต่เราก็มีฐานะปานกลางและอยู่กันอย่างประหยัดมาตลอด
ครูดุษในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้างครับ
โอ้โห ซนมาก ซนที่สุดในบรรดาลูกผู้หญิง หน้ามีแผลเป็นฟันกรามบิ่น เคยตกจากชั้นสองของบ้านซึ่งสูงตั้ง 3 เมตรนอกจากนั้นยังเคยตกต้นไม้เป็นแผลที่หัวเข่า แต่ก็ยังไม่เข็ด วันดีคืนดีก็เอาข้าวใส่กล่องปีนขึ้นไปนั่งกินบนต้นไม้พอย้ายไปอยู่เมืองจีน แม่น้ำที่กว่างโจวนั้นกว้างพอ ๆ กับแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เราก็สามารถว่ายน้ำไปกลับได้
ตัวดิฉันผูกพันกับดนตรีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ย้อนกลับไปได้หลายชั่วอายุคนเลยนะคะ บรรพบุรุษฝั่งของคุณพ่อที่อยุธยานั้นชอบดนตรีไทย ถึงกับมีการตั้งวงปี่พาทย์เล่นดนตรีไทยกัน พอมาถึงรุ่นคุณปู่คือนายเสียง พนมยงค์ นอกจากเล่นระนาดแล้วยังเล่นหีบเพลงด้วย ซึ่งสมัยร้อยกว่าปีก่อนนี่ถือว่าทันสมัยมากนะคะ ความรักในดนตรีตรงนี้ก็เลยตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่สำหรับกรณีของคุณพ่อนั้นด้วยความที่ท่านเรียนหนังสือเก่ง จึงไปเอาดีทางด้านการศึกษา เรียกว่ามีใจชอบดนตรีแต่ไม่มีโอกาส ในขณะที่ลูกหลานสายตรงจากคุณชวดนี่ ในปัจจุบันยึดอาชีพเป็นครูดนตรีถึง 4 คนด้วยกัน ไม่รวมที่เป็นนักดนตรีสมัครเล่นอีกหลายสิบคน นี่คือทางคุณพ่อ ส่วนทางฝั่งคุณแม่ คุณตาก็มีวงดนตรีไทยของตัวเอง แล้วให้ลูก ๆ 12 คนเรียนดนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เวลากินข้าวก็จะให้ลูกหลานเล่นดนตรีให้ฟังด้วยซึ่งทั้งหมดก็รวมอยู่ในตัวเรานี่ละค่ะ ดิฉันมีครูคนแรกคือคุณแม่ เพราะว่าคุณแม่เล่นเปียโนร้องเพลงอยู่เสมอ รวมถึงตอนที่ตั้งท้องดิฉันด้วย เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่าเรียนดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็จะบอกว่าตั้งแต่อยู่ในท้องเลยค่ะ (ยิ้ม)
ครอบครัวปรีดี – พูนศุขต้องพบกับเคราะห์กรรมหนักๆ หลายครั้งมีผลกระทบกับครอบครัวอย่างไรบ้างครับ
โดยทั่วไปแล้วที่บ้านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะคะ เป็นความโชคดีของเราเพราะว่าคุณแม่ยึดหลักของคุณตาอย่างที่เล่าไปแล้ว และใช้ชีวิตแบบเดินสายกลางมาตลอด ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไร แม้จะเป็นลูกของคุณพ่อที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ตาม ขณะเดียวกันความที่คุณตาคุณยายพอมีฐานะ ปัญหาทางเศรษฐกิจจึงไม่มีมากมายอะไร ดังนั้นสถานการณ์ของครอบครัวเราจึงไม่ได้ออกมาในรูปของเทวดาตกสวรรค์หรืออะไรแบบนั้นฉะนั้นถ้ามีลูกมีหลาน ขอแนะนำว่า จงเลี้ยงลูกให้เดินสายกลางเป็นดีที่สุด แล้วชีวิตเขาจะไม่ย่ำแย่มากเมื่อต้องประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ
แต่สำหรับคุณพ่อนั้น คุณแม่เคยเล่าว่า ท่านเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพราะมีการใส่ร้ายป้ายสีกันมากมาย ส่วนตัวดิฉันเอง ความที่ยังเด็กแล้วค่อนข้างห่างกัน ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด กินข้าวหรือนอนด้วยกัน เลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก ส่วนใหญ่มาได้ยินได้ฟังจากผู้ใหญ่ในภายหลังทั้งนั้น
เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการพลิกผันจริง ๆคือ หลังจากรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490ซึ่งคุณพ่อต้องหนีออกนอกประเทศไปคุณแม่ก็ถูกจับ วันแรกดิฉันกับน้องสาวเข้าไปนอนในห้องขังที่สันติบาลกับคุณแม่ด้วย ห้องขังอยู่ที่ชั้นสองของตึกหนึ่งในกรมตำรวจ หลังจากนั้น 2 วัน น้องสาวของคุณแม่ (เพียงแข สุนทรวิจารณ์) ก็มารับออกไป แม้ต้องกลายเป็นนักเรียนประจำแต่เราก็จะไปอยู่กับคุณแม่ทุกวันเสาร์อาทิตย์ตลอด 2 เดือนครึ่งที่ท่านถูกจับค่ะ
ตอนที่ต้องเข้าห้องขังวันแรก รู้สึกกลัวมากไหมครับ
ไม่กลัวค่ะ เพราะไม่รู้เรื่อง รู้อย่างเดียวว่า ครอบครัวเราไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่โชคยังดีว่าแม่ชีและครูที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟฯต่างก็เห็นใจครอบครัวเราและดีกับดิฉันมากค่ะ ส่วนคุณแม่นั้นแม้จะเครียดมาก แต่ท่านไม่เคยมีน้ำตาให้ศัตรูเห็น ดังจะเห็นได้จากรูปถ่ายตอนท่านถูกจับ ท่านเดินอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางการควบคุมของตำรวจ พอคุณแม่ถูกปล่อยตัวออกมา ท่านก็ตัดสินใจว่า คงอยู่เมืองไทยต่อไปไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจพาดิฉันกับน้องสาวซึ่งเป็นลูกเล็กไปอยู่ต่างประเทศ
โดยส่วนตัวรู้สึกน้อยใจกับชะตากรรมของครอบครัวบ้างไหมครับ
ดิฉันพูดแทนพี่น้องไม่ได้ แต่สำหรับตัวเองนั้น ดิฉันรู้สึกเสียใจมาตลอดว่าคุณพ่อเป็นคนที่ทำความดีมาชั่วชีวิต แต่กลับต้องเสียชีวิตโดยที่ยังไม่บรรลุในสิ่งที่อยากจะทำที่สุดเลย คืออยากเห็นประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และทุกคนมีความสุขตามอัตภาพ สำหรับความรู้สึกส่วนตัวนั้น ด้วยความที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นตอนที่เรายังเด็ก ดังนั้นพอมารู้เรื่องรู้ราวตอนที่เราโตและมีความคิดที่แข็งแกร่งพอสมควรแล้ว เลยไม่กระทบกระเทือนอะไรมากค่ะ
อยากให้ครูดุษเล่าถึงชีวิตช่วงที่อยู่ต่างประเทศสักเล็กน้อยครับ
ตอนที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศนั้นดิฉันเพิ่งอายุ 14 ปี ยังเรียนอยู่ ม. 5 ก็ประมาณม. 3 เดี๋ยวนี้ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร คุณแม่บอกให้ไปไหน เราก็ไปด้วย ตอนแรกไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะหวังว่าจะได้รับการติดต่อจากคุณพ่อบ้าง ซึ่งหลังจากที่อยู่ปารีสได้ 8 เดือน คุณแม่ได้รับจดหมายจากคุณพ่อจริง ๆ ท่านขอให้พวกเราไปสมทบกับท่านที่ประเทศจีน เราจึงย้ายจากฝรั่งเศสไปอยู่กับคุณพ่อที่ปักกิ่ง ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กว่างโจวเพราะทนอากาศหนาวเหน็บของปักกิ่งกันไม่ไหว
ดิฉันอยู่ที่นั่นนานถึง 19 ปี ซึ่งก็ต้องขอบคุณรัฐบาลจีนมาก ๆ เพราะสมัยนั้นไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ จีนยังเป็นประเทศที่ยากจน แต่เรากลับได้อาศัยอยู่ในฐานะแขกของรัฐบาล ได้อยู่อย่างดี มีบ้าน มีรถยนต์ มีคนช่วยงานบ้าน และได้อภิสิทธิ์ในเรื่องการกินการอยู่ที่ไม่ต้องปันส่วนเหมือนคนจีนทั่วไป
แต่ถึงกระนั้นคุณพ่อก็อยากให้เราได้ไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนจีนในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นทำนา เกี่ยวข้าว ขนปุ๋ยสด ซึ่งทั้งหมดนี้พอมองย้อนกลับไปแล้วทำให้อดนึกดีใจไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีวันนั้น เราคงกลายเป็นคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปแล้วนอกจากนั้นดิฉันยังได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย รวมถึงวิชาความรู้ที่ได้นำมาใช้ในการประกอบอาชีพจนทุกวันนี้ นั่นคือ วิชาดนตรี แม้จนวันนี้ก็ยังรู้สึกขอบคุณประเทศจีนอยู่ไม่หาย
หากย้อนคิดถึงช่วงชีวิตในประเทศจีน ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาคือภาพไหนครับ
ภาพการทำงานตอนทำนาค่ะ สำหรับดิฉันแล้ว เรื่องราวในตอนนั้นถือเป็นประสบ-การณ์ที่สวยงามมากนะคะ และเป็นช่วงชีวิตที่ทำให้เราเคยชินกับการเคี่ยวกรำทำงานหนักตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อที่ว่า “แรงงานเป็นบ่อเกิดของความไพบูลย์” จนทุกวันนี้บางทีเราไม่มีผู้ช่วย ก็กวาดบ้าน ถูบ้านซักผ้าเอง ปฏิบัติอย่างนี้มา 30 กว่าปีนอกจากนั้นนิสัยหนึ่งที่ติดมาจากประเทศจีนก็คือ การไม่ดูถูกคนที่ใช้แรงงาน ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราไม่เคยเรียกผู้ช่วยงานบ้านว่าคนใช้ แต่จะเรียกพวกเขาว่าแม่บ้านและให้พวกเขาเรียกดิฉันกับสามีว่าคุณแม่และคุณพ่อ สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้ไปอยู่เมืองจีนก็คงไม่รู้
นอกจากนั้นช่วงเวลา 19 ปีที่อยู่เมืองจีนยังทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมายรวมทั้งได้ค้นพบตัวเอง คือสมัยเด็ก ๆ ความที่เรียนหนังสือค่อนข้างเก่งเลยอยากเป็นหมอมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีโอกาสได้ไปดูงานผ่าตัดที่โรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้สมัยนั้นจีนกำลังนิยมการฝังเข็มแทนการใช้ยาชาแล้วผ่าตัด คราวนั้นเขาให้เข้าไปดูในห้องผ่าตัดสมอง หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จ เขาก็เอาสว่านเจาะ ๆ ๆ โดยที่คนไข้ก็ยังรู้สึกตัวและคุยกับหมออยู่เลย
ระหว่างนั้นมีเศษกระดูกกระเด็นมาโดนตัวดิฉันทำให้เป็นลมไปเลย พอฟื้นขึ้นมาเลยตัดสินใจว่าไม่เอาแล้ว ไม่เป็นหมอแล้ว ได้แต่เป็นหมอนวดให้คุณพ่อตอนที่เราย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสแล้ว แต่สุดท้ายก็มาลงตัวกับการสร้างคนหรืออาชีพครูสอนร้องเพลงแทน โดยเป็นวิชาความรู้ที่ติดตัวมาจากตอนอยู่ที่จีนเช่นเดียวกัน
จนถึงทุกวันนี้ดิฉันก็สอนร้องเพลงคลาสสิกมา 30 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่เมืองไทยมีครูสอนวิชานี้แค่ 2 - 3 คน แล้วก็สอนในมหาวิทยาลัยเป็นเวลา 20 กว่าปี แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำแล้ว หันมาทำคณะขับร้องประสานเสียง แล้วก็สอนโครงการ “ลมหายใจ…ดนตรี…ชีวิต” ที่เป็นการเอาธรรมะมาผสมผสานกับดนตรี เป็นหลักสูตรสอนอยู่ที่สวนโมกข์ กรุงเทพฯ ค่ะ
จุดเริ่มต้นของการนำธรรมะมาสอนร่วมกับดนตรีคืออะไรครับ
หลักสูตรนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันคิดมานานแล้วค่ะ แต่เริ่มเป็นรูปร่างจริงจังเมื่อสัก 20กว่าปีก่อน บังเอิญมีโอกาสได้เข้าไปคลุกคลีกับมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ศูนย์ฝึกเด็กหญิงบ้านปราณี ได้ไปช่วยงาน คุณครูหยุย (วัลลภตังคณานุรักษ์) คุณครูยุ่น (มนตรี สินทวิชัย) โดยได้ไปสอนร้องเพลงให้กับเด็กด้อยโอกาส อย่างที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กนี่ดิฉันจะหาเพลงไปเปิดให้เด็ก ๆ ฟังก่อนนอนเนื่องจากรู้มาว่า เด็กพวกนี้ถูกทำร้ายมามากจนส่งผลให้เขามักจะฝันร้ายหรือฉี่ราดแบบควบคุมไม่ได้ทั้งที่โตแล้ว ปรากฏว่าพอได้ฟังทุกคืนเด็กก็มีพฤติกรรมดีขึ้น เราเลยตระหนักว่า ดนตรีไม่ได้ให้แค่ความบันเทิง แต่สามารถให้สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นคือสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้
หลังจากนั้นเราก็ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรอยู่เรื่อย ๆจนกลายเป็นหลักสูตรที่ใช้ได้กับคนทั่วไป โดยมีธรรมะเข้ามาเกี่ยว มีการฝึกสมาธิโดยเน้นหลักของท่านพุทธทาสที่ว่า ทำใจให้สงบแล้วจะพบความสุขที่เยือกเย็น ปัจจุบันที่สอนอยู่สวนโมกข์ก็พัฒนาขึ้นไปอีก โดยมีการสวดมนต์เพิ่มเข้ามา แต่แทนที่จะสวดมนต์ธรรมดาก็จะมีเพลง มีวงออร์เคสตรามาเล่น คนหนุ่มสาวจึงสามารถสวดมนต์ได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ ท่านพุทธทาสเคยสอนว่า ดนตรีกับธรรมะนั้นไปกันได้ ขณะที่ดนตรีที่มีคุณภาพก็คือธรรมะนั่นเอง
พูดถึงท่านพุทธทาส หากอ่านหนังสือของครูดุษมักมีการหยิบยกคำสอนของท่านมาอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่ทำให้ประทับใจในตัวท่านพุทธทาสคืออะไรครับ
คงเนื่องมาจากสมัยที่คุณพ่อเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เคยนิมนต์ท่านพุทธทาสมาสนทนาธรรมที่บ้านค่ะ คุณพ่อได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านพุทธทาสหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมะเรื่องโลก เรื่องสังคม ธรรมิกสังคม สนทนากันจนได้เรื่องได้ราวหลายประการ อย่างเรื่องพ.ร.บ.สงฆ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ คุณพ่ออยากให้ท่านพุทธทาสแต่งเพลงธรรมะเพื่อเปลี่ยนรูปแบบให้การเผยแผ่พุทธศาสนามีความทันสมัยขึ้น ซึ่งท่านก็รับปาก แต่ท่านบอกว่าแต่งเพลงไม่เป็นได้แต่เขียนหนังสือที่มีคำสอนเกี่ยวกับดนตรีเท่านั้น ต่อมาท่านก็คิดขึ้นมาได้ว่าในศาสนาคริสต์มีการนำคริสตประวัติมาทำเป็นละครร้อง ท่านจึงเสนอแนะ โอเปร่าพุทธประวัติ ให้ผู้ใหญ่หลายท่านลองทำกันดู แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเพราะถ้าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติคุณต้องมีความเข้าใจถ่องแท้ถึงทำออกมาได้
หลังจากการสนทนาธรรมกันในครั้งนั้นทั้งสองท่านก็เป็นกัลยาณมิตรกันมาตลอดท่านปัญญานันทภิกขุ เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ท่านพุทธทาสได้สนทนาธรรมกับคุณพ่อเป็นเวลานาน 3 วัน 3 คืน และก่อนหน้าที่คุณพ่อจะเสียชีวิตไม่นาน ท่านพุทธทาสก็ได้ส่งหนังสือเล่มหนึ่งไปให้คุณพ่อ คือ “ธรรมะคู่ชีวิต” ซึ่งท่านพกติดตัวตลอดเวลา ลูก ๆ ไปค้นเจอหนังสือเล่มนั้นในกระเป๋าเสื้อนอกของคุณพ่อตอนที่ท่านเสียชีวิตแล้ว
ดิฉันคิดว่า คุณพ่อเป็นนักการเมืองที่หาไม่ได้แล้วในทุกวันนี้ ถามว่าจนถึงตอนนี้มีนักการเมืองคนไหนบ้างที่พกหนังสือธรรมะจนวาระสุดท้าย ไม่มีหรอก พกกันแต่เงินไม่เพียงเท่านั้นคุณพ่อยังไม่ใช่แค่อ่าน แต่ยังปฏิบัติอีกด้วย ท่านเป็นคนที่ยึดถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด ซื่อสัตย์สุจริต ทำงานโดยเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน แล้วก็ทำความดีโดยไม่เคยหวังผลเลย
ถึงตอนนี้คิดว่า ตัวเองได้อะไรจากคุณพ่อคุณแม่มากที่สุดครับ
สิ่งที่ได้จากทั้งคู่มากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ความเข้มแข็งแล้วก็ความมีเหตุผล คุณพ่อเป็นคนที่ยึดหลักกาลามสูตรอยู่เสมอ ท่านอาจจะไม่ได้สอนหรืออธิบายเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ฟังโดยตรงแต่ท่านจะทำให้ดูมากกว่า และมักพูดอยู่เสมอว่า “คนเราต้องมีสตินะ มีสติแล้วปัญญาจะเกิด” ซึ่งลูก ๆ ยึดมั่นในคำกล่าวนี้มาตลอด สำหรับตัวดิฉันเอง จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่ายังศึกษาธรรมะในขั้นอนุบาลขั้นประถมคืองู ๆ ปลา ๆ แต่ก็ยังดีใจที่แม้จะรู้นิดเดียวแต่ก็ได้นำส่วนนิดเดียวนั้นมาใช้ประโยชน์ดีกว่ารู้เยอะแต่ไม่ทำเลย
ขอถามเรื่องครอบครัวบ้างนะครับครูดุษมีชีวิตระหกระเหินมาตลอดแล้วเจอกับสามีได้อย่างไรครับ
เราเจอกันตั้งแต่ตอนที่ดิฉันเรียนอยู่ที่เมืองจีน หลังจากนั้นสามี (ชาญ บุญทัศนกุล) ก็กลับเมืองไทย ส่วนดิฉันไปเรียนต่อที่Royal College of Music ประเทศอังกฤษแม้จะต้องอยู่ไกลกัน แต่เราก็ยังเขียนจดหมายหากันทุกอาทิตย์ ทุกวันนี้ยังเก็บจดหมายเอาไว้นะคะ พอดิฉันกลับมาอยู่เมืองไทยเราก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ถึงวันนี้ก็เกือบ 40 ปีแล้วค่ะ
ต่อมาพอมีลูก (ดนย บุญทัศนกุล)เราสองคนก็พยายามปลูกฝังธรรมะให้เขาด้วยการพาไปวัดเสมอ ๆ พอเขาอายุ 15 ปีก็ส่งเสริมให้เขาได้บวชเรียนระยะสั้นกับหลวงพ่อปยุตฺโต ตอนนี้ลูกเรียนจบสายศิลปะที่เขารักและร้องเพลงอยู่ในวงสวนพลูด้วยค่ะ
พูดถึงวงสวนพลูคอรัส อยากถามถึงที่มาของวงนี้สักเล็กน้อยครับ
เมื่อปี 2542 ลูกศิษย์ที่สอนร้องเพลงคลาสสิกได้รวมตัวกันร้องเพลงประสานเสียงเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 60 ปี ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา หลังจากงานวันเกิดประมาณปีกว่า ดิฉันกับ นายแพทย์กิตติพรตันตระรุ่งโรจน์ จึงได้ก่อตั้งคณะนักร้องประสานเสียงขึ้น ในช่วงแรกสมาชิกเป็นลูกศิษย์ของดิฉันทั้งหมด เราคุยกันตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า อยากให้คณะประสานเสียงกลุ่มนี้มีเอกลักษณ์แบบไทยๆ ก็เลยเอาเพลงไทยเข้ามาประยุกต์ใช้ เช่นเดียวกับการแสดง เราก็ให้สมาชิกนุ่งชุดไทยใส่ผ้าซิ่น
ส่วนชื่อสวนพลูนั้น ที่เลือกชื่อนี้เพราะเดิมเราปักหลักซ้อมร้องเพลงอยู่ที่นั่น โดยสวนพลูในที่นี้มาจากตลาดสวนพลูเพื่อสื่อถึงความเป็นไทยและติดดิน ทำให้ชาวตลาดสวนพลูเขาภูมิใจกันมากที่ชื่อสวนพลูได้ไปอยู่ในหลาย ๆ สื่อ (ยิ้ม) จนถึงวันนี้วงสวนพลูก็อยู่มา 14 ปีแล้ว โดยมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ จากที่มีแต่สมาชิกที่เป็นลูกศิษย์เรียนเอก Voice ก็เริ่มขยายวงออกไปปัจจุบันนี้วงสวนพลูมีสมาชิกจากหลากหลายอาชีพ บางคนเป็นพ่อครัวโรงแรมดัง ๆบางคนเป็นนักจัดกิจกรรมนันทนาการ ล่าสุดมีสมาชิกเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดิฉันภูมิใจมากค่ะ
หลังจาก 14 ปีผ่านไป วงสวนพลูคอรัสได้ก้าวไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยังครับ
ตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่า วงสวนพลูคอรัสเป็นคณะนักร้องประสานเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ รวมทั้งได้ไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศมาแล้วมากมายสำหรับการประกวดในต่างประเทศนั้น ทุก ๆ 2 ปีจะมีการประกวด World Choir Gamesเราก็ไปประกวดและได้รางวัลทุกครั้ง เช่นรางวัลเหรียญเงิน ในปี 2004 รางวัลเหรียญทองแดง ในปี 2006 สำหรับการประกวดนั้น ต้องเรียนให้ทราบว่า เราไม่ได้ประกวดเพื่อเอาถ้วยเอารางวัล แต่เหมือนไปสอบไล่มากกว่า เพราะเกณฑ์การได้เหรียญเขาจะดูจากคะแนน ถ้าได้ 80 ขึ้นไปก็ได้เหรียญทอง ซึ่งเราได้คะแนนในระดับเหรียญเงินมาหลายครั้งแล้ว สำหรับปีนี้เราซ้อมกันหนักมาก ด้วยความหวังว่าเราจะได้คะแนนที่ดีเยี่ยมในการสอบไล่คราวนี้
อย่างไรก็ตาม การไปประกวดต่างประเทศต้องใช้งบประมาณสูงมาก แม้ว่าเราจะมีผู้สนับสนุนหลักอยู่ แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ช่วงหลัง ๆ เราจึงต้องควักเงินสมทบกันเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าเครื่องบินหรือค่าที่พัก รวมไปถึงการสร้างความพร้อมให้กับวง เราลงทุนจ้างผู้อำนวยเพลงเบอร์หนึ่งของโลกมาดูแล ดังนั้นเราจึงอยากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐและเอกชน เพื่อจะได้สามารถอยู่รอดได้ และมีกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป
อ้อ! ขอแถมท้ายอีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับวงสวนพลู ดิฉันดีใจที่วงของเรามีส่วนทำให้วงประสานเสียงเมืองไทยเกิดขึ้นมาอีกมากมาย เพราะการขับร้องประสานเสียงช่วยฝึกสมาธิ ทำให้ประสานใจด้วย บางทีดิฉันก็อยากให้นักการเมืองไทยฝึกร้องประสานเสียงกันบ้าง จะได้ประสานใจและมีความสามัคคีกัน บ้านเมืองจะได้ดีขึ้นไม่มีความแตกแยกเหมือนทุกวันนี้ (หัวเราะ)
สิ่งที่ได้รับจากการเป็นครูคืออะไรครับ
สิ่งที่ดิฉันได้มากที่สุดคงจะเป็นการได้เรียนรู้จากลูกศิษย์ ไม่ว่าจะเป็นการได้เรียนรู้จากความสามารถ ความมุ่งมั่นตั้งใจและจากพัฒนาการของพวกเขา ขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อสอนลูกศิษย์ทุกคนให้ดีที่สุด ทุกวันนี้ดิฉันภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสดูแลและสอนเด็กพิการ คนแรกชื่อน้องใบหม่อน เธอไม่มีทั้งแขนและขา แต่สวยและเสียงเพราะ ตอนนี้อยู่เมืองนอกแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อน้องกุ๊กกิ๊ก เขาถูกรถเฉี่ยว เฉี่ยวเสร็จถอยมาทับอีก กะจะเอาให้ตายเลย แต่ในที่สุดก็ไม่ตาย เหลือแค่ครึ่งตัว
เด็กพวกนี้น่ารักมาก อย่างตอนวันเกิดดิฉัน ใบหม่อนบอกว่า “คุณยายหลับตาแล้วแบมือสิคะ เดี๋ยวใบหม่อนจะให้ของขวัญวันเกิด” พูดเสร็จแกก็เอาติ่งเนื้อตรงช่วงตัวหนีบปากกาแล้วเขียนคำว่า “LOVE”ลงบนมือดิฉัน แม้จะบูด ๆ เบี้ยว ๆ แต่ก็น่าประทับใจมาก การได้ดูแลเด็กอย่างใบหม่อนหรือกุ๊กกิ๊กนี่ถือเป็นความสุขใจและเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ๆ ค่ะ
ดิฉันสามารถพูดได้เลยว่า ถ้าไม่เป็นครู ป่านนี้ดิฉันคงนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านเลี้ยงหลานไปวัน ๆ และคงตะบันน้ำกินแล้ว ก็ต้องขอบใจนักเรียนทุกคนมาก ๆที่ทำให้ยังมีชีวิตชีวา
ถึงวันนี้มองชีวิตที่ผ่านมาอย่างไรครับ
คนเราเกิดมาทุกคนย่อมต้องมีวิถีชีวิตของตัวเอง ดิฉันก็มีวิถีชีวิตของตัวเอง ซึ่งก็อาจจะแปลก แล้วก็เป็นชีวิตที่มีสีสันกว่าคนอื่น เชื่อไหมว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบทเทน ซึ่งเป็นพระปิตุลาของเจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ ได้ขอดิฉันไปเป็นลูกบุญธรรมด้วยนะคะ โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ ไม่งั้นได้ไปเป็นลูกเลี้ยงของเจ้าฟ้าอยู่เมืองนอกแล้ว(หัวเราะ) แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ดิฉันเหมือน ๆ กับทุกคนก็คือ ที่สุดแล้วการเกิดมามีชีวิตก็คือการนับถอยหลังไปสู่วันตายนั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำชีวิตของเราให้มีคุณค่าแค่ไหน ถึงตอนนี้ดิฉันภูมิใจกับหลายสิ่งที่ได้ทำ โดยเฉพาะการทำประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ซึ่งต่อให้เป็นอะไรไปในตอนนี้ ก็ถือว่าเราได้ทำอะไรมาเยอะแล้ว และรู้สึกพอใจในสิ่งที่ทำมาแล้วมากพอสมควร อย่างน้อยเกิดมาครั้งหนึ่งเราก็ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว (ยิ้ม)
เรื่องราวชีวิตที่น้อยคนจะรู้ของดุษฎี พนมยงค์
1. ตระกูลพนมยงค์สืบเชื้อสายมาจากปู่ของพระเจ้าตากสิน
2. ชื่อดุษฎี มีที่มาจากหลังเกิดได้ 7 วัน นายปรีดีได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา ซึ่งเป็นเข็มราชการแผ่นดินจากรัชกาลที่ 8
3. นิตยสาร Lifestyle Asia ยกย่องว่าครูดุษเป็นหนึ่งใน “Divas ofAsia” ในปี พ.ศ. 2532
4. ครูดุษได้รับการยกย่องจากนิตยสาร “Opera Now” ตีพิมพ์ที่ลอนดอน พ.ศ. 2544 ว่าเป็นนักร้องที่มีความรู้ดนตรีอย่างลึกซึ้ง
ผู้ที่มีความประสงค์จะสนับสนุนวงสวนพลูคอรัส กรุณาติดต่อได้ที่ คณะนักร้องประสานเสียง
สวนพลู โทรศัพท์ 0-2286-0503 suanpluchorus@yahoo.com
www.facebook.com/suanpluchorus
Secret Box
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว
มงคล 38 ประการ คาถาที่ 10 มงคลที่ 35