ถึงเวลา… ก็ต้อง “ปล่อย” เรื่องจริงของ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ปล่อยวางความทุกข์
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากให้ถึง “วันพ่อ” เอาเสียเลย
เพราะกิจกรรมตามโรงเรียนมักเกี่ยวกับพ่อไปหมด ไม่ว่าจะเขียนเรียงความ
ส่งภาพคู่ หรือถ้าหนักหน่อยก็ต้องพาพ่อมาร่วมงานที่โรงเรียน ฯลฯ
ดังนั้นพอถึงวันพ่อทีไร ฉันเป็นต้องเกเรหยุดโรงเรียนทุกครั้งไป
ส่วนสาเหตุนั้นก็มาจากประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ว่า “พ่อทิ้งฉันกับแม่ไปตั้งแต่ฉันยังอยู่ในท้องแม่” ตั้งแต่เกิดมาฉันมีแค่แม่กับยายเท่านั้นที่คอยเลี้ยงดู เรื่องของพ่อจึงกลายเป็นบาดแผลฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กและพลอยทำให้ฉันกลัวความรักไปโดยปริยาย
เมื่อโตเป็นสาว เริ่มมีหนุ่ม ๆ แวะเวียนเข้ามาขายขนมจีบอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ฉันไม่ตกลงคบหากับใครเป็นเรื่องเป็นราว จนกระทั่งเรียนจบและเริ่มทำงานที่แรก กำแพงที่ตั้งไว้พังทลายลงเมื่อฉันได้รู้จักกับ “พี่ชัย” รุ่นพี่ในที่ทำงาน
ช่วงแรกพี่ชัยมาจีบ ฉันไม่ได้สนใจอะไรนัก ยิ่งมีคนบอกว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ ฉันก็ยิ่งปิดตัวเอง แต่พี่ชัยก็ไม่ละความพยายามเฝ้าตามตื๊อสารพัดและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ฉันเห็นว่าเขารักและจริงใจกับฉันจริง ๆ ตลอด 3 ปีที่ทำงานด้วยกัน เขาไม่มีเรื่องชู้สาวมาเข้าหูเลย ในที่สุดฉันก็ใจอ่อนยอมรับรักจากเขา เราเป็นแฟนกัน 3 ปีก็ตัดสินใจแต่งงาน
หลังแต่ง พี่ชัยทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวได้ดีมาก ๆ ดูแลทั้งฉัน แม่ และยายไม่บกพร่อง จนแม่ที่ปกติแล้วจะเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยแสดงความเห็น ยังเอ่ยปากชมว่า
“ชัยเป็นคนดี ลูกเลือกคนไม่ผิด”
หลังจากแต่งงานกันย่างเข้าปีที่สองฉันคลอดลูกคนแรก พี่ชัยลาออกจากบริษัทเดิม โดยให้เหตุผลว่า พอมีลูก รายจ่ายในบ้านก็มากขึ้นตามไปด้วย ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาจึงต้องเปลี่ยนไปทำงานที่ได้เงินเดือนสูงกว่า ซึ่งฉันก็ไม่ติดใจอะไร
แต่ไม่นานนักฉันเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อพี่ชัยกลับบ้านดึกขึ้นเรื่อย ๆ ฉันพยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งได้ยินพี่ชัยคุยโทรศัพท์กับใครอยู่นานสองนาน น้ำเสียงดูมีความสุข ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องน้ำ นั่นทำให้ฉันเริ่มคิดว่า “มีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า” ดังนั้นระหว่างที่พี่ชัยเดินไปอาบน้ำ ฉันก็รีบไปเช็กรายการโทร.เข้า - ออกที่โทรศัพท์ของเขาทันที แต่ก็ไม่พบเบอร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัย ฉันจึงอดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่า “ระแวงอะไรไม่เข้าท่า”แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันรีบเดินกลับมาดูโทรศัพท์พี่ชัย แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเสียงนั้นไม่ได้มาจากโทรศัพท์เครื่องนี้
ฉันพยายามเดินหาเสียงโทรศัพท์รอบห้อง จนกระทั่งพบว่ามันอยู่ในกระเป๋าโน้ตบุ๊กของเขา แม้เสียงโทรศัพท์จะหยุดดังไปแล้ว แต่ต่อมอยากรู้ของฉันยังทำงานอยู่จึงรีบเปิดดูรายการโทร.เข้า - ออก และเห็นว่า
“สมศักดิ์” คือสายที่โทร.เข้ามา
เมื่อเปิดดูรายชื่อคนโทร.เข้าย้อนหลังแทบทุกรายการโทร.เข้า - ออกมีแต่ชื่อสมศักดิ์ทั้งนั้น สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้ฉันจดเบอร์โทรศัพท์ของสมศักดิ์เก็บไว้ทันที ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันเห็นพี่ชัยแอบไปโทรศัพท์บ่อยขึ้น เมื่อความสงสัยว่าสมศักดิ์เป็นใครเดินทางมาถึงขีดสุด ฉันรวบรวมความกล้ากดโทรศัพท์ไปหา “สมศักดิ์” ทันที
ตู๊ด…ตู๊ด…ตู๊ด
ระหว่างรอสาย ฉันใจเต้นไม่เป็นส่ำสักพักก็มีผู้หญิงมารับสายพร้อมกับบอกว่าโทร.ผิด เธอไม่รู้จักสมศักดิ์อะไรทั้งนั้น และที่สำคัญ เบอร์นี้เป็นเบอร์ของเธอคนเดียวฉันตัดสินใจแนะนำตัวตรง ๆ ว่า
“ฉันเป็นภรรยาพี่ชัย สงสัยว่าทำไมโทร.หาเบอร์นี้บ่อยมาก”
ผู้หญิงที่รับโทรศัพท์ตอบโต้กลับมาทันควันว่า
“ฉันก็เป็นภรรยาพี่ชัยเช่นกัน”
ทันทีที่ได้ยิน มือเท้าของฉันเย็นไปหมดไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องจริง ครั้นจะถามต่อ ผู้หญิงคนนั้นก็วางโทรศัพท์และปิดเครื่องไปเลย ฉันพยายามสะกดอารมณ์ปาดน้ำตา ล้างหน้า พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด พร้อมกับคิดหาวิธีจับให้ได้คาหนัง-คาเขา
ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เมื่อพี่ชัยออกจากบ้านในช่วงเที่ยงของวันเสาร์ ฉันรีบนั่งแท็กซี่สะกดรอยตามเขาไปติด ๆ สักพักรถก็เลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ตรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ทันทีที่พี่ชัยลงจากรถ หัวใจของฉันก็แทบสลายเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมากอดพี่ชัยจากด้านหลัง ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินเข้าบ้านไป
หัวสมองของฉันคิดไปมากมาย “ฉันกำลังจะเหมือนแม่ใช่ไหม กำลังถูกผู้ชายที่ฉันรักสวมเขาให้”
แต่คิดไปคิดมา ฉันไม่มีทางยอมเหมือนแม่แน่ ๆ พี่ชัยต้องเป็นของฉันคนเดียว ฉันเดินตามทั้งคู่เข้าไปในบ้านโชคดีว่าประตูไม่ได้ล็อก ฉันจึงตัดสินใจเปิดประตูบ้านดู ภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งทำให้ฉันช็อกมากขึ้นไปอีก เมื่อพี่ชัยกำลังคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่อายฟ้าดิน พอเหลือบมาเห็นฉัน เขาก็ผละออกจากผู้หญิงคนนั้น รีบคว้ากุญแจรถวิ่งออกจากบ้านโดยมีฉันวิ่งตามไปติด ๆ
เมื่อเห็นพี่ชัยกำลังถอยรถออกจากบ้านฉันกระโดดเกาะกระโปรงหน้ารถเหมือนหนังแอ๊คชั่นไม่มีผิด ใจคิดแค่ว่าเป็นไงเป็นกันต้องให้เขาจอดรถลงมาคุยให้รู้เรื่อง ส่วนพี่ชัยนอกจากไม่ยอมจอดรถแล้ว ยังพยายามขับรถส่ายไปส่ายมาหวังให้ฉันหล่นจากรถอีกรถวิ่งไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงปากซอย จู่ ๆ เขาก็จอดรถและเดินลงมาช่วยฉันซึ่งเกือบจะตกจากกระโปรงรถอยู่รอมร่อ ประคองฉันไปยืนข้างทาง ก่อนจะบอกนิ่ง ๆ ว่า
“พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว เราเลิกกันเถอะ”
สิ้นเสียงพี่ชัย ฉันรู้สึกเหมือนโลกถล่มอยู่ตรงหน้า พยายามถามย้ำอีกหลายครั้งเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งแล้วบอกแค่ว่าพี่ขอโทษก่อนจะขึ้นรถขับออกไป ทิ้งให้ฉันยืนร้องไห้อยู่คนเดียว
ฉันยืนเหมือนคนไร้วิญญาณอยู่ตรงนั้นไม่รู้นานแค่ไหน กระทั่งฝนตกลงมา ฉันพาร่างอันชุ่มโชกและบอบช้ำกลับมาบ้านอย่างเดียวดาย โชคดีที่วันนี้ยาย แม่ และลูกของฉันไปเยี่ยมคุณอาที่ต่างจังหวัด จึงไม่มีใครเห็นสภาพนี้ของฉัน แต่เมื่อเห็นสภาพห้องนอนก็ยิ่งเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะพี่ชัยขนเสื้อผ้าของใช้ไปจนเกลี้ยง นั่นหมายความว่าเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วที่ร้ายกว่านั้นคือ เขาเปิดเซฟ เอาทองแหวนเพชรแต่งงาน และเงินสดของฉันไปด้วย เขาเหยียบย่ำหัวใจฉันไม่พอ ยังทำตัวเป็นหัวขโมยอีกด้วย
ฉันพยายามโทร.หา แต่เขาปิดเครื่องโทร.เข้าเบอร์สมศักดิ์หรือผู้หญิงคนนั้นเธอก็ปิดเครื่องอีกเช่นกัน ฉันได้แต่ร้องไห้แทบขาดใจอยู่ตรงมุมห้องจนรุ่งเช้า สุดท้ายปัญหาต่าง ๆ ยังคงประดังประเดอยู่ในหัวจนฉันเริ่มคิดว่า “ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ไม่อยากเจอหน้าใคร” ฉันหยิบขวดยานอนหลับออกมา แล้วเทกรอกเข้าปากทันทีกว่า 20 เม็ด ไม่นานนักก็เริ่มมีอาการทุรนทุราย เห็นภาพลูก แม่ และยายผุดขึ้นมาเหมือนภาพยนตร์ ทุกคนกำลังยิ้ม กำลังกอด หัวเราะกับฉันอย่างมีความสุข จู่ ๆ ภาพก็กลายเป็นลูกกำลังนั่งร้องไห้จ้า
นาทีนั้นฉันคิดได้ทันทีว่า “จะตายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อยากตายแล้ว ถ้าฉันไม่อยู่แล้วใครจะเลี้ยงลูก”
ฉันพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็ทำไม่ได้ทำได้แค่ตะเกียกตะกายไปยังหน้าประตูบ้านเท่านั้น เหมือนโชคช่วยเมื่อจู่ ๆ ประตูก็เปิดออก แม่ ยาย และลูกกลับมาบ้านก่อนกำหนด เพียงแค่เห็นหน้าพวกเขาเท่านั้นฉันก็หมดสติไปทันที มารู้ตัวอีกทีก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาล มีสายระโยงระยางเต็มไปหมดทันทีที่ฉันฟื้น แม่โผเข้ากอดแล้วปลอบเหมือนตอนเป็นเด็กว่า
“ขวัญเอ๋ยขวัญมาลูก ไม่เป็นไรนะ” แล้วแม่ก็รีบบอกว่า “ไม่ต้องเล่าอะไรทั้งนั้นแม่รู้เรื่องหมดแล้ว ถ้าเขาไม่อยากอยู่กับเราก็ปล่อยเขาไป อย่าทำร้ายตัวเอง เชื่อแม่ เราอยู่กันสี่คนได้นะลูก ปล่อยเขาไป”
น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เสียใจเรื่องพี่ชัยอีกแล้ว หากเป็นความรู้สึกดีใจที่ยังมีโอกาสมีลมหายใจอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะแม่ หนูเสียใจที่มองเขาผิดไป วันนี้หนูจะปล่อยเขาไปจริง ๆ ค่ะ หนูจะไม่ยื้อ ไม่ตาม ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับอะไรอีกแล้ว หนูรู้แล้วว่าชีวิตหนูมีค่า มีคนที่รักจริง ๆ รออยู่ หนูจะอยู่กับแม่ กับลูก และยายค่ะ”
ทุกวันนี้ฉันเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างมีความสุข กว่าจะมีวันนี้ต้องขอบคุณนาทีเฉียดตายที่ทำให้รู้ว่าชีวิตเรามีค่า ขอบคุณแม่ที่สอนให้รู้จักการปล่อยวางและไม่ยึดติดขอบคุณชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
ขอบคุณจริง ๆ
คำแนะนำจากพระอาจารย์บวรวิทย์ รตนโชโต
โบราณกล่าวไว้ว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” การจะเชื่อถือและมั่นใจใครบางคนนั้นต้องใช้เวลานาน หาบทสรุปตายตัวไม่ได้ ดูเหมือนมนุษย์โลกนี้สลับซับซ้อน แต่หากเข้าใจความจริงด้วยปัญญาแล้ว มนุษย์เรามีความทุกข์กับสิ่งเหล่านี้มาทุกสมัย อยากได้แล้วไม่ได้ก็ทุกข์ ได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ก็ทุกข์ พบเจอกันแล้วพลัดพรากจากกันไปก็ทุกข์
ความจริงแห่งธรรมชาติยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ นั่นคือกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขัง อนัตตา เป็นสภาพแห่งความผันแปรเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง โดยมีเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นไปตามวิถีนั้น ๆ บางครั้งอุปสรรคเกิดจากตัวเอง บางครั้งเกิดจากคู่กรณี บางทีก็เกิดจากผู้คนหรือสิ่งรอบ ๆ ตัวเรา แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เมื่อมีการเกิดขึ้นคราใดก็ย่อมมีการดับสิ้นไปเมื่อนั้น พบกันเมื่อใดความพลัดพรากก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ตลอด
นี่คือกฎแห่งความเป็นจริง มนุษย์เราต่างหากที่ไม่เข้าใจกฎความจริงข้อนี้ และมักจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งที่ความเป็นจริงไม่มีอะไรเป็นของใครทั้งนั้นสิ่งทั้งปวงล้วนมีปัจจัยมาประกอบกันจึงเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่าผู้มีสติปัญญาในการเข้าใจความจริงเท่านั้นที่จะสามารถบรรเทาทุกข์และทำทุกข์ให้หมดไปตลอดกาลนาน
ขอขอบคุณภาพ
sasint on pixabay