“ชีวิตผมเหมือนเป็นหนี้พระพุทธศาสนา” ฤทธิพร อินสว่าง (จบ)
ทุกวันนี้การเขียนหนังสือเป็นงาน อีกอย่างหนึ่งที่ผม (ฤทธิพร อินสว่าง) รัก แม้ว่ารูปแบบจะแตกต่างจากการทำเพลงที่เป็นงานหลัก แต่ความปีติที่ได้รับนั้นไม่ต่างกันเลย
ผมเชื่อว่า “การเขียนหนังสือคือการเขียนชีวิต” ที่ต้องมุ่งมั่นทุ่มเทในการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2554 นี้ ผมเขียนหนังสือออกมาสองเล่ม คือ “สุขอย่างมีศิลป์” และ“ธรรมะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป” นอกจากนี้ ผมยังให้กำลังใจผู้คนผ่าน www.ritthiporn.com โดยในเว็บไซต์นี้ผมได้รวบรวมผลงานที่ผ่านมาของผมเอาไว้ รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้แฟนเพลงซึ่งทุกข์หนักเครียดจัด ท้อแท้กับชีวิต ตั้งคำถามหรือสื่อสารถึงผมได้โดยตรงที่bob_rtp@hotmail.com
อาจกล่าวได้ว่าชีวิตผมเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการลองผิดลองถูก รวมถึงใช้ความทุกข์เป็นเครื่องพัฒนาปัญญา
พระพุทธศาสนาสอนให้ไม่ยึดติด แต่ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน ชีวิตผมก็เหมือนเป็นหนี้พระพุทธศาสนาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้พระพุทธศาสนาสอนให้ผมรู้จักการดำเนินชีวิตแบบใหม่ วิธีการทำงานแบบใหม่ และท่าทีที่ถูกต้องในจิตใจ นำมาซึ่งความสุขอันวิเศษที่ไม่พึ่งวัตถุภายนอกเกินจำเป็น
ยิ่งผมเห็นธรรมก็ยิ่งเห็นโลกและเห็นการแบกโลกเป็นเรื่องน่าขัน
ความเจียมตัวช่วยชีวิต
แม้จะมีชื่อเล่นเป็นฝรั่งว่า “บ็อบ” ที่น่าจะเรียกกันเล่นๆ ตามชื่อนักฟุตบอลอังกฤษที่โด่งดัง บ็อบบี ชาร์ลตัน และ บ็อบบี มัวร์ แต่แท้จริงแล้วผมไม่ใช่ลูกครึ่งฝรั่งที่ไหน เป็นลูกสุพรรณเต็มตัว เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินที่งดงามในชุมชนตลาดเก่าริมแม่น้ำท่าจีน
แม้จะภูมิใจที่เกิดเป็นคนสุพรรณ แต่ผมก็เจียมตัวอยู่ลึกๆช่วงแรกที่เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯนั้น ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้คน เมื่อจำเป็นต้องพบปะใครก็มักจะก้มหน้าหรือมองเฉียดไปด้านอื่นบุคลิกมาดมั่นที่มองเห็นจากภายนอกนั้น ยังมีอีกด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นคือ “ความเจียมตัว”
เมื่อมีผลงานเพลงเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วประเทศแล้ว ความเจียมตัวของผมก็ไม่ได้จางหายไป ยิ่งมีคนให้ความสำคัญก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเล็กลง ความเจียมตัวว่าเป็นคนบ้านนอกช่วยปกป้องผมไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท
แม้ว่าบางครั้งโอกาสดีๆ ความมีชื่อเสียง และถ้อยคำเยินยอจะทำให้ตกอยู่ในอาการ “พอง” หรือ “เผลอ” เชื่อมั่นตัวเองจนเกินไปอยู่บ้าง แต่ความเป็นคนบ้านนอกที่เป็น “มิตรแท้” ในตัวผมก็ช่วยดึงกลับมาสู่จุดเดิมได้เองโดยปริยาย เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมประคองตัวอยู่ได้บนเส้นทางที่เลือกเดิน
วิธีเลิกสูบบุหรี่ในแบบของผม
ผมเลิกสูบบุหรี่มานานแล้วครับ แต่อยากนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพราะคิดว่าประสบการณ์ของผมน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านได้บ้าง โดยเฉพาะท่านที่พยายามเลิกสูบบุหรี่ แต่ยังเลิกไม่ได้
ผมเริ่มสูบบุหรี่ตอนเป็นหนุ่ม ทั้งเพื่อนฝูงและคนรู้จักหลายคนสูบบุหรี่ทั้งนั้น เห็นพวกเขาสูบก็สูบบ้าง สูบไปสูบมาก็ติดอย่างหนักจนกระทั่งตอนอายุ 29 ปี ผมตัดสินใจบริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดไทยวันที่ไปบริจาคมีการแถลงข่าวเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์การรับบริจาคให้สภากาชาดไทยด้วย ผมให้สัมภาษณ์ว่าจะเลิกสูบบุหรี่เพื่อถนอมอวัยวะไว้แต่พอเวลาผ่านไปผมกลับทำอย่างที่ตั้งใจไม่ได้ เมื่อต้องแต่งเพลงเข้าห้องบันทึกเสียง แสดงคอนเสิร์ต ผมก็สูบบุหรี่เหมือนเดิมอีก
ในเวลาต่อมา ผมไปแสดงคอนเสิร์ตทั่วประเทศที่จังหวัดทางภาคใต้มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งอยู่ในร้านอาหารกับทีมงาน พนักงานสาวของร้านเอ่ยทักผมขณะสูบบุหรี่ว่า
“พี่ฤทธิพรประกาศว่าเลิกแล้วไม่ใช่หรือคะ แล้วทำไมยังสูบอยู่”
คำพูดนั้นเสียดแทงใจผม รู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถทำได้อย่างที่พูด…ผมหยุดสูบบุหรี่ได้ระยะหนึ่ง แต่ก็หวนกลับไปอีก เมื่อไม่อาจทนต่อความรู้สึกผิด ก็เลิกแล้วก็สูบอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง จนกระทั่งตัดสินใจยุติการทำงานชั่วคราวเพื่อยุติความเครียด มุ่งที่จะเลิกสูบบุหรี่อย่างจริงจัง
นอกจากการพักงาน ผมใช้แผ่นนิโคตินและยาที่ได้รับจากแพทย์ด้วยในบางครั้งผมยังพยายามทำอีกหลายอย่าง เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด
แต่ที่ได้ผลจริงๆ และช่วยให้ผมเอาชนะบุหรี่ได้สำเร็จคือ “การฝึกจิตใจ”
เริ่มจากการเขียนบันทึกว่า บุหรี่ให้ผลร้ายกับชีวิตอย่างไรและทำไมจึงต้องเลิก พยายามหาเหตุผลมาบันทึกไว้ให้มากที่สุด ทุกครั้งที่อยากสูบบุหรี่ ผมจะตั้งสติและอ่านบันทึกนั้นเพื่อเตือนตัวเองให้อดทนอดกลั้น ฝึกฝนจนรู้เท่าทันว่าความอยากแค่เกิดขึ้น คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วดับไปเท่านั้น
ผมไปที่สวนสาธารณะทุกวันติดต่อกันหลายสัปดาห์ ทำตัวให้คุ้นเคยกับการไม่สูบบุหรี่ มีความสุขกับแมกไม้ สายน้ำ อากาศบริสุทธิ์และได้พบอิสรภาพที่ขาดหายไปจากชีวิตอีกครั้ง
เมื่อเลิกสูบบุหรี่ได้เด็ดขาด สุขภาพที่เคยแย่ก็กลับดีขึ้นมากไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา และความเชื่อมั่นอีกต่อไป ที่สำคัญคือเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ได้อีกด้วย
กอดลูก กอดโลก
บ้านคือที่ที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด ผมจะออกไปข้างนอกก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เช่น ไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียน ไปทำงานหรือให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นอกเหนือจากความพยายามที่จะทำให้บ้านเป็น“บ้านแห่งความสุขของลูกๆ” ด้วยการเป็นพ่อที่ดีแล้ว ผมยังมั่นใจว่าผมเป็นพ่อที่กอดลูกมากที่สุดคนหนึ่งด้วย…แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ“มีลูกไว้กอดหรือชอบกอดลูกเหมือนผมหรือเปล่า”
ตอนที่ลูกคนแรกยังเป็นทารกอยู่นั้น ลูกมักจะคลานมากอดผมแล้วซบหน้าลงบนอกผม…ดวงตาที่มีประกายแวววาวของลูกเป็นยิ่งกว่าพระอาทิตย์ในใจ…
ในเวลาต่อมา เมื่อภรรยาให้กำเนิดลูกอีกคนหนึ่ง ซึ่งอายุไล่เลี่ยกับลูกคนแรก ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจจริงๆ
กลิ่นหอมของลูกนั้นหอมยิ่งกว่าชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จใดๆ การโอบกอดร่างน้อยๆ ที่น่าทะนุถนอมและเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขไว้ทั้งสองคนทำให้ผมรู้สึกได้ถึงการโอบกอดโลก
เมื่อโลกอยู่ในอ้อมกอดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกโลกเพราะความโลภความรักที่มีต่อลูกเติมเต็มและหนุนส่งให้ผมดำเนินชีวิตอย่างสงบและเรียบง่ายบนวิถีแห่งสติ
เชื่อเหลือเกินว่าผมจะอยู่ในใจลูกๆ ตลอดไป และอ้อมกอดของผมจะทำให้พวกเขาอบอุ่นเสมอ แม้วันนี้ลูกๆ จะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นกันแล้วผมก็ยังกอดพวกเขาเหมือนเดิม ทั้งลูกชายและลูกสาวกอดตอบผมโดยเฉพาะลูกสาวนั้นชอบกอดผมมากเป็นพิเศษเลยทีเดียว
การกอดเป็นภาษาของความรู้สึก ถ้ามาจากส่วนลึกจริงๆ ผมไม่เห็นว่าจะน่าอายตรงไหน ผมว่าน่าเสียดายมากกว่าถ้าคนเป็นพ่อแม่ละเลยการกอดลูก หรือปล่อยให้ความถือตัวเป็นกำแพงปิดกั้นจนลูกไม่อาจมองเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจ
ธรรมะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผมในหลายด้าน ทำให้หัวใจของผมอ่อนโยนลงและดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ด้วยเหตุนี้ผมจึงหวังว่าเรื่องราวของผมจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ในสังคม โดยเฉพาะการศึกษา “คำสอนของพระพุทธเจ้า” เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติ ร่วมกันปกป้อง และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป
หากว่าข้อเขียนนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตใครสักคนไปในทางที่ดีเหมือนที่หนังสือบางเล่มเคยเปลี่ยนแปลงชีวิตผม การทำหน้าที่พุทธศาสนิกชนของผมในครั้งนี้ก็บรรลุจุดมุ่งหมายแล้ว
Secret Box
อาจมีหลายปัจจัยที่นำความล้มเหลวมาสู่ชีวิตแต่ทั้งหมดนั้นไม่เพียงพอสำหรับการยอมแพ้
ฤทธิพร อินสว่าง
ภาพจาก Posttoday
บทความน่าสนใจ
“ชีวิตผมเหมือนเป็นหนี้พระพุทธศาสนา” ฤทธิพร อินสว่าง (1)
“ธรรม” ที่พึ่งพิงของชีวิต บทความให้แง่คิด จาก พระไพศาล วิสาโล
ที่พึ่งของใจ พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ลูกกรรมกรผู้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพราะธรรมะ
ดำเนินชีวิตด้วยหลักคิดของธรรมะ หลิน - มชณต สุวรรณมาศ