พลังของการอยู่เฉยๆ ใครว่าไม่มีประโยชน์
ใครเคยมีความรู้สึกเป็นแบบนี้บ้างคะที่เวลามีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ หรือเกิดความรู้สึกไม่ดี การจะทำให้ความรู้สึกแบบนี้นั้นหายไปนั้นยากเหลือเกิน มักจะคิดวนเวียน วกวนอยู่อย่างนั้น บางคนพอมีอาการหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็พาลไปหงุดหงิดใส่คนอื่น จากเรื่องเล็กๆ ที่เป็นปัญหาของตัวเองก็ส่งผลกระทบไปเป็นวงกว้าง เรียกว่าลำพังการบังคับใจตัวเอง มันไม่พอที่จะให้เราหยุดทำนิสัยที่ไม่ดีได้ ยิ่งพยายามที่จะหยุดทำ ยิ่งย้ำเตือนว่าจะไม่ทำ การบังคับใจตัวเองนี่ล่ะค่ะยากสุดๆ การจะไม่ทำให้คิดก็ยิ่งคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา การบังคับใจตัวเองต้องใช้พลังงาน แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะในตอนที่เครียด จะมีพลังงานเหลือน้อย ทำให้ไม่สามารถฝืนบังคับใจตนเองได้
ดังนั้นเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นให้เราทำนิสัยที่ไม่ดี สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือหยุดอยู่เฉยๆ ไม่ตอบสนอง ซึ่งการหยุดอยู่เฉยๆ จะช่วยให้เราระงับความอยากที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้ เวลาที่เราหยุดและพิจารณาสิ่งเร้า มันจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าควบคุมและปล่อยให้สมองส่วนที่ใช้เหตุผลตัดสินใจ เรามีทางเลือกเสมอ แต่หลายครั้งเราไม่ทันได้เลือกเพราะเราอยู่ใต้การควบคุมทำให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทันที การหยุดจะทำให้เกิดช่วงเวลาที่ทำให้เราสังเกตและเราก็จะควบคุมการตอบสนองได้
เอาแบบนี้ค่ะ ลองหัดมองโลกแบบเด็กๆ ดูสิคะ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ยึดติดกับความคิดมากเกินไป ลองสังเกตดูสิว่าเด็กๆ มักจะไม่ค่อยสนใจคิดเรื่องความคิดของตัวเองสักเท่าไรนัก ทำให้หยุดกังวลได้ง่าย และหาเรื่องสนุกๆ ทำได้ตลอด ไม่มานั่งเครียดเหมือนผู้ใหญ่อย่างเราๆ
>> ฝึกอยู่เฉยด้วยการทำสมาธิ <<
หากคุณมีความรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะหยุดความคิด หรือเรียนรู้วิธีการนิ่งเฉยและปล่อยวางได้ ลองจินตนาการว่าความคิดที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนการหายใจดูสิ เพราะคนเราต้องหายใจตลอดเวลา แต่เราก็สามารถที่จะกลั้นหายใจได้ด้วย ดังนั้นการทำสมาธิจะสอนให้เรารู้จักนิ่งและปล่อยวางจิตใจลงได้ดีเลยค่ะ เพียงใช้เวลาแค่วันละ 15-20 นาที เพื่อทำสมาธิในทุกๆ เช้าจะช่วยให้คุณมีสติและเลิกยึดติดกับความคิดที่คอยรบเร้าอย่างเห็นได้ชัด หรือใครสะดวกที่จะฝึกทำสมาธิตอนกลางคืนก็ได้ทำได้ค่ะ ทำแบบนั้นก็ช่วยสงบจิตใจได้ดี เพราะก่อนนอนเราจะนิ่งและเลิกคิดถึงสิงต่างๆ ที่เป็นสิ่งเร้ากว่าช่วงกลางวัน
>> เขียนสิ่งที่คอยรบกวนจิตใจคุณออกมา <<
ลองนั่งวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือคิดถึงสิ่งที่ทำให้จิตใจเราไม่สงบดูว่าเกิดจากอะไร แล้วลองเขียนสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานั้นลงในสมุด การได้นั่งเรียบเรียงความคิดจะทำให้คุณหยุดคิดซ้ำไปซ้ำมาในหัว เมื่อคุณถึงจุดที่คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรแสดงว่าสมองคุณได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นมันถือเวลาที่คุณจะหยุดคิดได้แล้ว ต้องไม่ลืมนะคะว่าการคิดเยอะไม่ได้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือคุณควรฟังเสียงจากสิ่งที่มาจากตัวตนจริงๆ ของคุณเองก็พอ
>> จดสิ่งที่คอยรบกวนจิตใจลงในสมุด <<
เอาเวลาที่มาคิดหมกมุ่นวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ เปลี่ยนมาเป็นนำสิ่งพวกนั้นมาเขียนลงสมุดดีกว่า พอครบอาทิตย์ก็ลองย้อนกลับไปอ่านที่จดเอาไว้ เราจะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีอะไรที่มากวนใจเราได้มากที่สุด เราจะได้จัดการสิ่งนั้นได้ก่อนเป็นอันดับแรก พยายามจดให้มากที่สุด มีปัญหาอะไรกวนใจก็มาจดลงไป อย่างน้อยอาทิตย์ละสามวันก็ยังดี เชื่อสิว่าการย้อนกลับไปนั่งอ่านเรื่องที่จดเอาไว้จะทำให้เรามีเวลาไตร่ตรองสิ่งต่างๆ มากขึ้น และทำให้จิตใจเราสงบไม่คิดและเสียเวลากับความหมกมุ่นวุ่นวายต่างๆ ตลอดเวลาไงคะ
>> แก้ปัญหาเท่าที่คุณจะทำได้ <<
ถ้าคุณเป็นคนชอบมีข้อแม้ว่า “ถ้า” อยู่บ่อยๆ ให้ทำสิ่งที่มีโอกาสสำเร็จเกิดขึ้นได้ยากแน่ๆ ค่ะ หรือถ้าปัญหาของคุณคือการคิดมากเกี่ยวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เกี่ยวกับการกังวลแบบไม่มีเหตุผลหรือการคิดถึงสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ คุณก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากเพื่อแก้ปัญหาที่คอยกวนใจ ดังนั้นคุณควรจะแก้แต่ปัญหาที่คุณสามารถแก้ได้และคิดแผนลงมือทำแทนที่จะเอาแต่คิด ๆๆ โดยไม่มีการลงมือทำ ลองแก้ปัญหาดูก่อน แก้เท่าที่จะแก้ได้ ไม่นานปัญหาก็มีทางออก และหมดไปค่ะ อย่ากระวนกระวาย หรือตื่นตูมไป ค่อยๆ ใช้สติ แก้ปัญหาแบบนิ่งๆ ไปดีกว่า ทางออกมีเสมอเชื่อสิ
>> หางานอดิเรกใหม่ๆ ทำ <<
ลองใช้เวลาเพื่อค้นหาสิ่งแปลกใหม่และท้าทายมากๆ เพราะงานอดิเรกที่คุณค้นพบซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะช่วยให้คุณมีสมาธิอยู่กับสิ่งที่คุณทำและตั้งตารอดูผลลัพธ์จากสิ่งที่ทำอย่างจดจ่อ อย่าคิดไปก่อนว่าคุณรู้จักตัวเองดีว่าคุณชอบทำอะไรหรือคิดว่าสิ่งบันเทิงใจนั้นไม่จำเป็น การลองทำงานอดิเรกใหม่ๆ จะทำให้คุณมีสติและจดจ่ออยู่กับงานศิลปะ งานประดิษฐ์ หรืองานอะไรก็ตาม คุณสามารถลองทำสิ่งเหล่านี้ได้ บางคนอาจชอบแต่งกลอนหรือเขียนเรื่องสั้น หรืออาจไปหาคอร์สวิชาประศาสตร์ภาคค่ำเรียน เรียนคาราเต้ เรียนกีฬาโต้คลื่น หรือลองไปเรียนวิธีปั้นเครื่องดินเผาหรือเครื่องเซรามิกดูก็ได้ รับรองจิตใจจะนิ่งและสงบมากขึ้นแน่ๆ
>> ลองอ่านหนังสือให้มากขึ้น <<
ลบคำสบประมาทที่ว่า คนไทยอ่านหนังสือไม่เกิด 8 บนนทักต่อวันดูค่ะ รู้มั้ยว่าการจดจ่ออยู่กับความคิดของคนอื่นไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่ลึกซึ้งเท่านั้นแต่ยังทำให้คุณคิดถึงเรื่องของตัวคุณน้อยลง หันมาอ่านชีวประวัติของบุคคลที่จุดประกายแรงบันดาลใจจากการลงมือทำจริงๆ อาจทำให้คุณเห็นว่าเบื้องหลังความคิดที่เฉียบคมคือการลงมือทำ ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลยจะดีกว่า อีกทั้งการอ่านหนังสือจะทำให้คุณไม่อยากทำอะไรนอกจากหนีไปในโลกแห่งจินตนาการ ซึ่งก็ฟังดูเข้าท่าไม่น้อยเลยนะคะ
เราเข้าใจค่ะว่ามันทำได้ยาก แต่ทุกสิ่งที่บอกไปสามารถฝึกกันได้ เพราะความสามารถที่จะฝืนและไม่ทำตามที่ใจคิด เป็นพลังที่จะช่วยทำให้สิ่งเร้ามันอ่อนแอลง ความตึงเครียด ความไม่สบายใจ ผลกระทบจากการคิดในแง่ลบก็จะลดลง ทำให้เราเป็นอิสระมากขึ้น สมองเราก็จะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปแบบปกติใหม่ ลองทำตามนี้ดูนะคะ จิตใจและความคิดของเราจะอยู่เฉยไม่สับสนไปกว่าเดิม ลองดูสิ!
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ