เจี๊ยบ-สีหนุ่ม ความผูกพันที่ไม่มีวันจาง (2)
พ่อสีหนุ่มกับแม่ของผม ( เจี๊ยบ-สีหนุ่ม เชิญยิ้ม หรือชื่อจริงว่า เฉลิม ปานเกิด) แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิตาลี ชีวิตของแม่ต้องเผชิญกับอะไรบ้างนั้น ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน จนกระทั่งวันที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปกว่า20ปี แม่พยายามติดต่อผมผ่านสมาคมตลกฯ เมื่อได้เบอร์โทรศัพท์ของผม ท่านก็โทรศัพท์มาพูดคุยและบอกว่าจะเดินทางมาหาที่เมืองไทย
ผมไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอแม่มาก่อน วันที่แม่มาถึงสนามบิน ท่านลากกระเป๋าเดินตรงมา ผมรู้ทันทีว่านี่แม่ของผมทั้งที่ไม่เคยเจอหน้า ส่วนแม่ก็เดินตรงมาหาเหมือนรู้ว่าผมเป็นลูก เรากอดกันร้องไห้ที่สนามบิน ผมรู้สึกมีความสุขมาก ยิ่งวันนั้นพ่อไปรับแม่ด้วยกันกับผม ทำให้ผมสัมผัสถึงคำว่า“พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว”ชัดเจนยิ่งกว่าวันไหนๆ
ขณะที่ขับรถกลับบ้าน ผมรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูกหันไปมองพ่อแม่ และน้องสาวต่างพ่อ(ทีน่า)ที่นั่งอยู่ในรถ
ด้วยความรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาทำให้ผมรู้ว่า?สายสัมพันธ์ของคำว่า“ครอบครัว”สร้างความอบอุ่นใจได้มากขนาดนี้
ตั้งแต่เจอหน้ากันวันแรก ผมรู้ว่าแม่รักผมมาก ส่วนผมเองไม่เคยนึกโกรธท่านเลยที่จากไปตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนหนึ่งคงมาจากการอบรมเลี้ยงดูของยายและน้าๆที่สอนให้เป็นคนจิตใจดี ไม่เคยสอนให้โกรธพ่อโกรธแม่ ยิ่งเมื่อได้รับรู้ความจริงจาก ทีน่าว่าแม่นอนร้องไห้คิดถึงลูกชายที่เมืองไทยบ่อยๆ และขอร้องให้เธอและน้องสาวอีกคนคือ นัตตี้ช่วยตามหาผมด้วย ผมก็ไม่เคลือบแคลงสงสัยในความรักความห่วงใยที่ท่านมีต่อผมอีกเลย
ผมมีแต่ความสงสารที่แม่ต้องต่อสู้ชีวิตในต่างแดน ท่านเล่าว่าช่วงแรกๆ ที่ไปอยู่ประเทศอิตาลี ชีวิตไม่ได้สะดวกสบาย ต้องต่อสู้สารพัด เริ่มจากทำงานรับจ้างที่ร้านอาหารแล้วก็ไปเป็นกุ๊กที่ร้านอาหารอิตาเลียนอยู่ประมาณ4-5ปีก่อนจะเลิกเพราะมาแต่งงานกับมาริโอ(พ่อเลี้ยง)พอมีลูกแล้ว พ่อเลี้ยงซึ่งเป็นช่างไม้และช่างเหล็กก็ให้แม่ออกมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ แม่มีลูกสาวสองคนและตอนนี้ทั้งสองคนก็แต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว ที่ผ่านมาผมมีโอกาสพาหลานและภรรยาไปเยี่ยมแม่ที่ประเทศอิตาลี ท่านดีใจมากและบอกผมว่า ในชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอเพียงในบั้นปลายชีวิตอยากกลับไปตายที่เมืองไทยได้ไหม ผมเลยบอกแม่ว่า“มาอยู่เถอะเจี๊ยบเลี้ยงได้”
สำหรับผมถ้าแม่เป็นผู้ให้ชีวิตแล้วละก็ พ่อนั้นถือว่าให้ทุกอย่างแม้ว่าตอนผมเป็นเด็กท่านจะไม่ได้เลี้ยงดูใกล้ชิดเหมือนพ่อคนอื่นแต่ท่านให้ชีวิตให้ประสบการณ์ให้อาชีพและให้ชีวิตที่ดีกับผมมาจนถึงทุกวันนี้ ผมอยากตอบแทนพ่อด้วยการดูแลท่านให้ดีที่สุด ยิ่งในวันที่ท่านเจ็บป่วยผมรู้เลยว่าในชีวิตนี้ ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าเห็นพ่อมีความสุข
เดิมทีพ่อป่วยเป็นเบาหวาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านมีร่างกายแข็งแรงมาก น้อยครั้งที่จะเห็นพ่อเจ็บป่วย เรื่องที่ต้องเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อพ่อป่วยเป็นเบาหวาน ผมจึงเริ่มพูดคุยซักถามเกี่ยวกับการไปหาหมอของพ่อมากขึ้น โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าโรคนี้เล่นงานพ่ออยู่
วันนั้นขณะที่พ่อกำลังอัดซิตคอมเรื่องบางรักซอย9อยู่ดีๆท่านก็เป็นลมล้มลงเพราะร่างกายซีกซ้ายเริ่มอ่อนแรง โชคดีที่วันนั้นพี่หน่อยซึ่งเล่นเป็นคนใช้ในเรื่องเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนี้ เมื่อเห็นก็รู้ว่าอาการไม่น่าไว้ใจ จึงรีบบอกคนรถให้พาพ่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หลังจากเอกซเรย์ หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองของพ่อแตกเป็นเส้นเลือดใหญ่ ทำให้มีเลือดออกเยอะมาก ต้องรีบผ่าตัด แต่ผ่าตัดแล้วโอกาสรอดของพ่อมี10เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ฟังแล้วผมใจหายวูบลงไปที่ตาตุ่ม คิดว่า“ทำไมโอกาสของพ่อน้อยอย่างนี้นะ”ส่วนคนอื่นๆที่รอฟังผลอยู่หน้าห้องตรวจทั้งแม่จี๊ด แจ๊ค โบว์ แหม่ม(ภรรยาผม) ลุงโน้ต ลุงเป็ด และทีมงานบางรักซอย9ต่างนิ่งงัน ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
นาทีนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยชีวิตพ่อของผม ถ้าพ่อรอดมาได้ผมจะบวชให้พ่อ ที่สุดเหมือนมีปาฏิหาริย์ หลังผ่าตัดอาการของพ่อดีขึ้นเรื่อยๆ จากอาการดีขึ้น10เปอร์เซ็นต์ก็เป็น2 เปอร์เซ็นต์เป็น50เปอร์เซ็นต์
จนปัจจุบันถือได้ว่าพ่อรอดแล้ว อาการดีขึ้นมากเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทุกวันนี้แม้ผมกับพ่อจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่บ้านเราอยู่ใกล้กัน และที่สำคัญบ้านพ่อเป็นทางผ่านไปโรงเรียนของลูกถ้าวันไหนผมไม่ได้แวะไปเยี่ยมท่าน ภรรยาก็จะพาลูกไปพูดคุย กอดพ่อแทนผม ผมได้บวชให้พ่อเรียบร้อยแล้ว ท่านน้ำตาซึมในวันที่ผมบวช
ส่วนผมเองแม้จะเคยบวชมาแล้วสองครั้ง แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ได้เดินจงกรม นั่งวิปัสสนา แม้อาจจะไม่ได้ช่วยให้พ่อหายป่วย แต่ผมเชื่อว่าการบวชของผมช่วยสร้างกำลังใจให้พ่อ ตอนนี้พ่อยังเดินไม่ได้ แต่พูดโต้ตอบได้หมด ท่านยังต้องทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผมเอง หากรู้ว่าหมอนวดคนไหนเก่งก็จะเสาะหามานวดแขนขาให้พ่อ จากแขนขาที่บวมๆ เลือดลมเดินไม่สะดวก ตอนนี้แขนขาของพ่อกลับมาเป็นปรกติแล้ว ระยะหลังๆ เวลาไปไหนมาไหนมักจะมีคนเข้ามาพูดคุยซักถามถึง อาการของพ่อด้วยความห่วงใยผมจึงอยากขอบคุณทุกท่านด้วยนะครับ ถ้าหากพ่อแข็งแรงเหมือนเดิมเมื่อไร ก็อาจจะกลับไปเล่นละครอีกครั้ง พ่อของผมผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสมาแล้ว ช่วงแรกที่ท่านพูดไม่ได้ แต่เริ่มขยับมือเขียนหนังสือได้ พ่อเขียนตัวหนังสือขยุกขยิกส่งให้ผม
“ฝากแม่ด้วยนะ พ่อขอโทษ”
ผมตอบพ่อทันทีว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมลูกพ่อนะยังไงแม่จี๊ดก็เหมือนแม่ของผมคนหนึ่ง?ผมก็ต้องดูแลครอบครัวนี้ด้วยเหมือนกัน…ฟังแล้วพ่อก็น้ำตาไหล
แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายของทั้งบ้านตัวเองและบ้านพ่อ แต่ผมกลับรู้สึกภูมิใจที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่นี้ เพราะสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอดคือความกตัญญูทั้งต่อพ่อ แม่ น้าๆ ผู้มีพระคุณทุกคน รวมทั้งต่อวิชาชีพของผมเอง
“ตลกคาเฟ่”เป็นอาชีพที่ผมนับถือ เพราะเป็นอาชีพที่ทำให้คนหัวเราะและมีความสุข การเป็นตลกไม่ใช่เรื่องง่ายถามลุงโน้ต ลุงเป็ด น้าหม่ำทุกคนก็บอกว่ายาก ไม่มีโรงเรียนที่ไหนสอนอาชีพนี้ได้ เพราะตลกคาเฟ่เป็นตลกที่ออกมาจากข้างในและต้องอาศัยการเล่นเป็นทีม ผมถือว่าตลกคาเฟ่เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง อย่างผมเล่นซิตคอมเรื่องเป็นต่อ ก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างศิลปะการแสดงกับศิลปะของตลกคาเฟ่นำสองจังหวะนี้มารวมกันเลยเกิดเป็นมุกที่เป็นธรรมชาติขึ้นมา หลังจากเล่นซิตคอมเรื่องนี้ ผลตอบรับกลับมาดีมาก มีน้องๆวัยรุ่นเรียก“พี่ยม”ผมก็รู้แล้วว่าเรียกผม
ก่อนหน้านี้ผู้กำกับซิตคอมเรื่องนี้เคยพูดกับผมว่า“พี่เจี๊ยบครับ ผมรักตลกคาเฟ่ ผมจะทำให้คนที่พูดว่า‘ก็แค่ตลกคาเฟ่’ ลืมคำนี้ไปเลยผมจะทำให้พี่ขึ้นห้างให้ได้”แทบไม่น่าเชื่อ สี่ปีผ่านไป ทั้งชาวบ้านร้านตลาด มนุษย์เงินเดือนและเจ้าของกิจการใหญ่โตก็ดูซิตคอมเรื่องนี้ ส่งผลให้ผมและนักแสดงท่านอื่นๆมีโอกาสไปเป็นพิธีกรหรือโชว์ตัวในงานใหญ่ๆที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าเขาจะนึกถึงพวกเรา
แม้อาชีพนักแสดงจะเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน แต่ชีวิตผมในวันนี้ก็เกินฝันมาเยอะแล้วครับ มีครอบครัวของพ่อที่ผมรักเหมือนครอบครัวตัวเอง มีครอบครัวของแม่ที่อิตาลี และครอบครัวของผมที่มี คุณแหม่ม-เบญจมาศ มาสิงห์ เป็นภรรยาที่ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง และน้องเหนือ-ธนภัทร ปานเกิด ลูกชายสุดที่รักคอยให้กำลังใจ แม้ลูกชายจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพบ้าง แต่ผมก็ไม่หนักใจอะไร ผมมีแต่ความภูมิใจในตัวเขาที่ช่างพูดช่างคุย เวลาคุยโทรศัพท์กับผมเขามักจะถามว่า
“พ่อครับ พ่อเหนื่อยไหมครับ”ฃ
“ไม่เหนื่อยเลยลูก พ่อทำงานที่พ่อชอบพ่อสนุกกับงานมากเลย”
ผมตอบลูกแบบนี้ทุกครั้งแล้วเขาก็จะพูดว่า
“งั้นพ่อต้องรีบกลับบ้านนะครับ น้องเหนือคอยพ่ออยู่นะ เหนือรักพ่อนะ”
เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจลูก ซึ่งสำหรับผมเป็นคำพูดที่จริงใจมากของเด็กอายุ5-6ขวบ เมื่อพูดกับผมเสร็จ ถ้านักแสดงคนอื่นๆในซิตคอมเรื่องเป็นต่ออยู่แถวนั้นเขาก็จะขอคุยด้วยทั้งพี่เป็นต่อ(ชาคริต แย้มนาม) และคนอื่นๆซึ่งรักและเอ็นดูเขากันทุกคน คิดๆดูแล้วความกตัญญูรู้คุณคนและความนอบน้อมที่ติดตัวผมมาแต่เกิด น่าจะเป็นผลบุญที่ผลักดันให้ผมพบเจอแต่สิ่งดีๆแต่ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ผมกลัว ต้องบอกว่าผมกลัวคนคิดว่าผมหยิ่งลืมตัวเพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมเตือนตัวเองอยู่ทุกวัน และพยายามทำตัว ให้เสมอต้นเสมอปลายกับทุกคนที่ผมรู้จัก
ผมว่าการที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เขาคงจะมีหลักคิดดีๆในชีวิตและหลักคิดที่ว่านั้นต้องหาให้เจอด้วยตัวเองครับ!
Secret Box
แง่คิดดีๆ จากชีวิตของเจี๊ยบ เชิญยิ้ม
•ความกตัญญูรู้คุณจะทำให้พบเจอแต่สิ่งดีงาม
•รักในสิ่งที่ทำ แล้วจะมีความสุข
•ความนอบน้อมถ่อมตน เสมอต้นเสมอปลาย ช่วยให้เป็นที่รักของทุกคน
เรื่อง เฉลิม ปานเกิด เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ
ภาพ ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู