“อย่าปล่อยให้ โอกาส ที่มีผ่านเลยไปเปล่า ๆ” ป๊อบ - ปองกูล สืบซึ้ง
ป๊อบ - ปองกูล สืบซึ้ง นักร้องเสียงดี เล่าเรื่องราวของ โอกาส ในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตของเขา
“ยิ่งฉันไม่รู้ วันนี้ฉันยิ่งต้องทำให้ดีที่สุดด้วยหัวใจ ฉันจะรักให้มากที่สุด สุดแรงกำลังกายใจ ยิ่งไม่รู้ว่าชีวิตมันจะสั้น จะยาวเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ฉันเข้าใจ ว่าจะทำวันนี้เช่นไร จะขอทำทุกอย่างเพื่อเธอ…”
บางส่วนของเนื้อเพลง “ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องทำ” นี้ บอกเล่าจุดเปลี่ยนในชีวิตผมได้ตรงที่สุด เพราะแต่ก่อนผมเคยคิดว่าเหตุการณ์ในชีวิตคนเราต้องเกิดขึ้นตามลำดับไม่มีอะไรซับซ้อน
ความคิดนี้เกิดจากการเทียบเคียงกับชีวิตตัวเองครับ เพราะในวัยสามสิบกว่า ๆผมได้ไปแต่งานบวช งานแต่งงาน ไปเยี่ยมคนป่วยบ้าง ฯลฯ แต่พอวัยสี่สิบกว่า ๆ เริ่มมีการตายกันบ้างแล้ว คราวนี้ผมก็เลยได้ไปงานศพบ่อยขึ้น ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อกลับทำให้ผมรู้ว่า “ชีวิตมันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ”
2 - 3 ปีก่อนเป็นช่วงชีวิตที่ผมทำงานหนักมาก จึงไม่ค่อยมีเวลากลับไปหาพ่อที่ปราจีนบุรีเหมือนเคย ได้แต่โทรศัพท์ถามสารทุกข์สุกดิบกันไป จะด้วยความที่พ่อเป็นคนแข็งแกร่งหรือไม่อยากให้ลูกเป็นห่วงก็ตาม คำตอบของพ่อจึงมักเป็นแค่ประโยคสั้น ๆ “พ่อโอเค สบายดี ไม่มีปัญหา”ได้ยินเท่านี้ผมก็ทำงานได้อย่างหมดห่วง
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งใจว่า วันพ่อปีนั้นผมต้องมาหาพ่อให้ได้ พอเสร็จงานผมก็ตีรถไปปราจีนบุรีเลย ตั้งใจว่าจะค้างบ้านสักคืนสองคืนค่อยกลับ แต่อยู่ ๆ คืนนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น พ่อล้มหัวฟาดพื้นและหมดสติทันที ผมรีบพาพ่อไปส่งโรงพยาบาลด้วยความตกใจ และยิ่งตกใจกว่าเดิมเมื่อคุณหมอตรวจพบว่า “พ่อเป็นมะเร็ง” และตอนนี้มะเร็งก็กำลังขึ้นสู่สมองนั่นหมายความว่า พ่อคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน!
สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ทางโรงพยาบาลจะจัดบ้านหลังเล็ก ๆ ให้พักเป็นการส่วนตัว และเปิดโอกาสให้ครอบครัวสามารถมาดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด ถึงแม้จะห่วงงานแค่ไหน แต่สำหรับผมแล้ว พ่อสำคัญที่สุด ดังนั้นพอเคลียร์งานเรียบร้อยผมก็รีบเก็บกระเป๋ามาอยู่กับพ่อ แม่ และพี่ชายทันที
การได้อยู่กับพ่อตลอด 24 ชั่วโมงนี่เองทำให้ผมรู้ว่า “ความสุขที่แท้จริงในชีวิตคืออะไร”
ตอนนั้นร่างกายของพ่อเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จะชัตดาวน์เต็มที โปรแกรมต่าง ๆ ค่อย ๆ ปิดลงทีละอย่าง พ่อเริ่มเดินไม่ได้ ถ่ายไม่ได้ และกินไม่ได้ ผมก็ได้แต่ “ภาวนา” ให้โปรแกรมเหล่านั้นทำงานได้อีกครั้งและแล้วปาฏิหาริย์ก็มีจริง เมื่อวันหนึ่งพ่อเริ่มยกมือได้ กินได้อีกครั้ง แม้จะแค่ช่วงสั้น ๆแต่ผมก็โคตรมีความสุขเลย
แต่ก่อนผมเคยคิดว่า ความสุขของคนต้องโตไปตามวัย อย่างสมัยเด็กแค่ได้ของเล่นเล็ก ๆ สักชิ้นก็ดีใจแล้ว พอโตขึ้นก็อยากได้ของชิ้นใหญ่ขึ้น พอหาเงินได้เอง ความสุขก็ยิ่งขยายไปเป็นบ้าน รถ ของกิน ของใช้หรืออะไรก็ได้ที่คิดว่า “มี” แล้วตัวเองจะมีความสุข ผมทำหมด เหนื่อยก็ทำ วุ่นวายก็เอา จนลืมมองไปว่า
“ความสุขที่แท้จริงของคนเราไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย แค่กินได้ ถ่ายออก ช่วยเหลือตัวเองได้เท่านั้นเอง” นอกจากจะมองไม่เห็นมันแล้ว ผมยัง “ถีบ” มันออกไปให้ห่างจากตัวเองอีก
พ่อมีชีวิตอยู่ได้แค่ราว 3 - 4 เดือนก็จากพวกเราไปอย่างสงบ ทิ้งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไว้ให้กับชีวิตผม นั่นก็คือการรู้จักทำเพื่อ “คนอื่น” บ้าง ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว
ช่วงเวลาที่อยู่โรงพยาบาลกับพ่อ ผมเห็นผู้ป่วยมากมายที่ไม่ใช่แค่เผชิญกับโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความยากไร้อีกด้วย พอให้คีโมเสร็จแทนที่จะได้นอนโรงพยาบาลต่อ หรือนั่งรถกลับบ้านสบาย ๆ พวกเขากลับต้องขึ้นรถเมล์ร้อน ๆ แทน ผมจึงเริ่มคิดว่า “ถ้าช่วยเขาได้ก็คงดีนะ จะได้ทำให้เขาสบายขึ้น” อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกว่า โลกนี้ไม่ได้แห้งแล้งเกินไปยังมีน้ำใจอยู่เหมือนกัน
ความเป็นนักร้องทำให้ผมนึกถึงการจัด “คอนเสิร์ตการกุศล” ขึ้น หลังจากชักชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ร่วมอุดมการณ์ได้จำนวนหนึ่ง ผมก็จัดคอนเสิร์ตชื่อสั้น ๆ ว่า “IF” ขึ้น เพื่อนำเงินไปมอบให้ผู้ป่วยมะเร็งยากไร้
“IF” หมายความว่า ถ้าเราทำ เราก็จะช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้าเราไม่ทำ เราก็ช่วยคนอื่นไม่ได้
คอนเสิร์ตที่ว่านี้เหมือนเป็นการรวมอีเว้นต์หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน คุณจะมาเดินเล่น กินข้าว ซื้อของ หรือฟังเพลงก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมาประมูลสิ่งของซึ่งเป็นวิธีที่ผมมองว่าเหมือนการกรรโชกบุญมากกว่าได้บุญ งานนี้คุณสามารถมาร่วมงานได้โดยไม่ต้องซื้อบัตรผ่านประตู ผมอยากให้ทุกคนที่มางานมีความสุข อยากจะ “ให้”เท่าไหร่ก็ให้ตามความพอใจ
ผลตอบรับที่ได้กลับมามันดีมาก ๆ ทุกคนมีความสุขกับคอนเสิร์ต ตัวผมเองก็เหมือนได้เปิดความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งมันอิ่มเอมจนบอกไม่ถูก และจากนั้นผมก็นำเงินบริจาคสามแสนกว่าบาทไปส่งมอบให้ถึงมือคนที่ต้องการใช้มันจริง ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีศิลปินรุ่นน้องอีกหลายคนที่คิดจะนำความคิดเช่นนี้ไปหาเงินช่วยสังคมบ้าง ผมได้ยินแล้วก็ยิ่งดีใจ เพราะนั่นหมายความว่า ผมได้ส่งต่อไม้ผลัดแห่งความสุขไปให้คนอื่นได้สำเร็จ
ในส่วนของงานเพลง ผมก็เปลี่ยนแนวทางไปด้วย คราวนี้เพลงของผมต้องมีอะไรที่มากกว่า “ฟังเพราะ” เท่านั้น แต่เนื้อเพลงและมิวสิควิดีโอของผมจะต้อง “สัมผัสกับหัวใจคนฟัง” และ “ให้แง่คิด” ด้วย
อย่างเพลง “ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องทำ” ก็มาจากเรื่องราวจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมจริง ๆ ผมเริ่มทำเพลงนี้ตั้งแต่ช่วงที่ทำงานหนักไม่ค่อยได้กลับบ้าน แล้วผมก็อยากให้พ่อได้ฟังมาก แต่พ่อก็มาป่วยหนักเสียก่อนจึงต้องหยุดทำเพลงนี้ไปชั่วคราว สุดท้ายพ่อก็ชิงจากผมไปก่อนที่จะทำเพลงเสร็จ และไม่มีโอกาสได้ฟังแม้แต่เดโมแรก
ผมว่าเรื่องนี้เป็นตลกร้ายอย่างหนึ่งในชีวิตเลย เพลงที่เราอยากให้พ่อของเราฟังมากที่สุด แต่เขากลับไม่มีโอกาสได้ฟังเมื่อไม่อาจย้อนเวลาได้ ผมก็ขอเพียงให้คนอื่นที่ได้ฟังเกิดแง่คิด เกิดมุมมองดี ๆก็แล้วกัน
ลมหายใจสุดท้ายของคนที่เรารักอาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นในวันนี้ถ้าเรายังไม่ได้บอกรักเขาทั้งที่ใจอยากจะบอก เราก็อาจไม่มีโอกาสบอกรักเขาอีกเลยตลอดชีวิตเพราะอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้
ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า อยากให้ “ภาพถัดไป” เป็นแบบไหน แล้วอย่าปล่อยโอกาสที่มีในขณะนี้ผ่านเลยไปเปล่า ๆ…
Secret BOX
ความสุขไม่ได้โตตามวัย แต่ขึ้นอยู่กับ“กรอบ” และ “ตำแหน่ง” ที่เราวางไว้ต่างหาก – ป๊อบ - ปองกูล สืบซึ้ง
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
ที่มา: คอลัมน์ Turning Point นิตยสาร Secret
บทความน่าสนใจ
ถ้ามีโอกาสเราต้อง “คืนกลับ” สู่สังคม บอย พิษณุ นิ่มสกุล
รอง เค้ามูลคดี เปิดใจเล่าถึงห้วงขณะที่รู้ว่าภรรยาสุดที่รักมีโอกาสจากไปทุกนาที
คือ ความรัก คือชีวิต คือลมหายใจ: เป้ย – ปานวาด บุญยรัตกลิน