วินาทีที่อยากลืม อุบัติเหตุ ที่ทำให้รู้จักความหมายของชีวิต
อุบัติเหตุครั้งนั้น เป็นเหมือนบาดแผลในใจของผม
คืนนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายแม้ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่กลับกระชากผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์หลับใหล
ยังไม่ทันได้ตั้งสติใดๆ รถที่นั่งก็พุ่งเข้าชนตอสะพานอย่างจัง
เสียงดังโครมเพียงแค่อึดใจ แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน
ผมและ กบ (นิมิตร จิตรานนท์) เพื่อนสนิท เดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพฯมาถึงเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดียเมื่อคืนนี้ ตามแผนที่วางไว้เราต้องต่อรถไปยังพุทธคยาเพื่อถ่ายทำรายการสารคดีเกี่ยวกับสังเวชนียสถานในอินเดียเป็นเวลา 11 วันสาเหตุที่ต้องบินมาลงที่นี่ก่อนเพราะเราเลือกเดินทางในวันที่ไม่มีเที่ยวบินตรงไปพุทธคยา
เมื่อถึงสนามบินเมืองกัลกัตตาก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว รถเช่าที่เอเจนซี่หาไว้ให้ก็มารออยู่แล้วเช่นกัน คนขับรถและผู้ช่วยคนขับบอกว่า ต้องออกเดินทางทันทีเพื่อจะไปถึงพุทธคยาในตอนเช้า คนขับรถยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาพร้อมทำงานเพราะพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว เราสองคนจึงตกลงออกเดินทางทันที
สองข้างทางที่รถแล่นไปมีแต่ความมืดมองไม่เห็นวิวทิวทัศน์ใด ๆ เราสองคนจึงนั่งแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทาง รู้สึกตัวครั้งหนึ่งประมาณตีสาม เพราะคนขับรถแวะพักรถที่ปั๊มน้ำมันเก่า ๆ สักพักแล้วก็ออกเดินทางต่อ
ประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงของผู้ช่วยคนขับโวยวายเมื่อลืมตาเต็มตื่นก็เห็นด้านหน้ารถพุ่งชนตอสะพานอย่างจัง
ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของผมเหมือนถูกผลักให้หลุดออกจากเบาะ แต่แล้วก็โดนกระชากกลับมาอยู่ที่เดิม เพราะเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ดึงรั้งกลับมา ผมเจ็บแปลบบริเวณท้องที่รัดเข็มขัดนิรภัยไว้ หันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นเพื่อนท่าทางจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
เมื่อรถนิ่งค้างอยู่ที่ตอสะพาน ผู้ช่วยคนขับเปิดประตูออกไปอยู่นอกตัวรถทันทีเขาดูไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่คนขับยังติดอยู่กับที่นั่งออกมาไม่ได้ ดูเหมือนว่าขาของเขาหักทั้งสองข้างจากการที่รถฝั่งที่เขานั่งกระแทกเข้ากับตอสะพานเต็ม ๆ
ผมถอดเข็มขัดนิรภัยออก เปิดประตูรถแล้วค่อย ๆ ออกมายืนบนถนน แต่ยืนได้ไม่กี่นาทีก็เจ็บท้องมากจนต้องทรุดตัวลงนอนกับพื้น ในขณะเดียวกันผู้ช่วยคนขับรถก็ไปดึงกบออกมาจากรถ และลากเขามาอยู่ข้าง ๆ กัน
“เป็นไรมากไหม”
ผมถามอย่างเป็นห่วง เขาพยักหน้าคล้ายจะบอกว่ายังไหวอยู่
เราอยู่ตรงนั้นสักพักก็มีรถขนฟางขับผ่านมา ผู้ช่วยคนขับรถรีบวิ่งไปโบกรถคันนั้น เขาคุยกับคนขับสองสามคำ แล้วก็ให้เราสองคนหิ้วกระเป๋าขึ้นไปนอนบนกองฟางหลังรถคันนั้น พร้อมกับบอกว่า คนขับรถคันนี้จะพาเราไปโรงพยาบาล
หนึ่งชั่วโมงที่นอนอยู่บนรถ ผมยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันนะ นี่เราเป็นอะไรหนักหรือเปล่าแล้วงานที่วางแผนกันมาจะทำอย่างไร อุปกรณ์ที่ขนมาด้วยจะเสียหายหรือไม่ ผมคิดวนไปวนมาตลอดทาง
สุดท้ายรถขนฟางก็พาเรามาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนศาลาโล่ง ๆ คนขับรถพาเรามานอนบนเตียงคนละเตียง หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาขอดูพาสปอร์ต แล้วพูดกับคนขับรถซึ่งพอเดาความหมายได้ว่าผมกับกบยังไม่ตาย ให้เรียกรถพยาบาลมารับไปส่งโรงพยาบาลใกล้ ๆ
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ไม่นานนักก็มีรถซูบารุคันเล็ก ๆ มารับเราขึ้นไปนอนท้ายรถคนละฝั่ง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย แต่จับมือเพื่อให้กำลังใจกันไปตลอดทาง รถแล่นไปตามทางขรุขระ ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนของอินเดียอาการปวดของผมกำเริบหนักขึ้น เรียกได้ว่าปวดที่สุดในชีวิต กบก็คงบาดเจ็บไม่น้อยกว่ากัน เพราะหลายครั้งผมได้ยินเสียงเขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
เป็นเวลานานแค่ไหนไม่รู้ รถคันนี้พาเราสองคนมาส่งที่โรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของกบแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง ส่วนผมก็มีหมอผู้หญิงมาดูแผลให้เธอมีสีหน้าตกใจ เพราะตอนนั้นรอบท้องผมกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว คาดว่าหมอคงฉีดมอร์ฟีนให้ อาการปวดจึงทุเลา หลังจากนั้นหมอก็เดินจากไป ปล่อยให้ผมนอนรออยู่คนเดียวในห้องนั้น
ระหว่างนอนรอการรักษา โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ดูหน้าจอแล้วก็เห็นว่าภรรยาโทร.เข้ามา
“ไปถึงหรือยัง ทำไมไม่โทร.มาบอกกันเลย”
เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“เรารถคว่ำ ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน”
คำตอบของผมทำให้เธอตกใจมากหลังจากวางสายไป เธอจึงโทร.ไปหาภรรยาของกบ โทร.ปรึกษาครอบครัว และติดต่อกับบริษัทรถเช่า จนสุดท้ายก็รู้ว่าผมอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เมืองดันบัด (Dhanbad) เมืองเล็ก ๆ ระหว่างทางจากกัลกัตตาไปพุทธคยาระหว่างนั้นภรรยาและน้องชายของผมก็โทร.มาหาเป็นระยะ เพื่อคอยส่งข่าวที่เช็กได้จากการประสานงานกับบริษัทรถเช่าอยู่เรื่อย ๆ
ผมนอนอยู่นาน ในใจก็คิดเป็นห่วงว่าเพื่อนบาดเจ็บขนาดไหน เพราะไม่ได้เจอกันอีกเลย จนสุดท้ายน้องชายโทร.เข้ามา ผมจึงถามเขาว่า
“ตอนนี้กบเป็นยังไงบ้าง หายไปนานมากเลย”
ตอนแรกน้องชายไม่ยอมบอกอะไร เมื่อผมเซ้าซี้หนักเข้า เขาจึงปลอบว่า
“ใจเย็น ๆ นะ ตอนนี้พี่กบกลับมาไม่ได้แล้ว แต่เราจะพยายามเอาแกกลับมาให้ได้”
ผมนิ่งอึ้งกับคำตอบของน้องชาย ผมถามตัวเองในใจ ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงใช่ไหมเพื่อนเราตายจริง ๆ หรือ ความตายมันใกล้ตัวเรามากขนาดนี้เชียวหรือ เรื่องที่เจอมันร้ายแรงกว่าที่ผมคิด ในหัวคิดวนเวียนสับสนทั้งเสียใจที่เสียเพื่อนและกลัวความตายขึ้นมา
ขณะนอนเจ็บอยู่ตรงนั้น ผมไม่รู้เลยว่าครอบครัวของผมและกบกำลังโกลาหลวุ่นวายกับข่าวที่ทางอินเดียส่งไปว่า สถานการณ์ที่โรงพยาบาลตอนนี้คือ one dead one ok (เสียชีวิตหนึ่งคน อีกหนึ่งคนรอดชีวิต) กบเสียชีวิตเพราะซี่โครงหักทิ่มปอด ข่าวนั้นคงสะพัดไปทั่วเมืองที่ผมอยู่เช่นกัน เพราะจู่ ๆ ก็มีนักข่าวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเปิดห้องเข้ามาถ่ายรูปผม แล้วก็มีคนอื่นเข้ามามุงดูรอบเตียงผมเต็มไปหมด
สักพักภรรยาผมก็โทร.มาบอกว่าตอนนี้กำลังทำเรื่องย้ายตัวผมไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในกัลกัตตา ซึ่งห่างจากโรงพยาบาลที่ผมอยู่หกชั่วโมง เพราะโรงพยาบาลที่ผมอยู่นี้ไม่สามารถผ่าตัดผมได้เธอและน้องชายของผมจะรีบเดินทางมาหาให้เร็วที่สุด
ไม่นานนักก็มีเด็กไทยสองคนจากวัดไทยในพุทธคยาเข้ามาหาผม น้องสองคนนี้มากับหลวงพ่อที่วัดไทยซึ่งเรานัดหมายว่าจะไปพบท่านในตอนเช้า แต่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อนพอท่านทราบข่าวก็รีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อส่งเด็กสองคนมาเป็นล่ามและช่วยดูแลผมส่วนตัวท่านก็มาจัดการเรื่องกบ โดยรับร่างของเขาไปทำพิธีที่วัด
ผมถูกส่งตัวออกจากเมืองดันบัดเวลาบ่ายสามโมงเย็น โดยมีเด็กไทยสองคนนี้นั่งมาในรถด้วย ระหว่างหกชั่วโมงนั้น สภาพจิตใจของผมไม่ดีนัก ทั้งปวดแผลและมีเรื่องให้คิดมากมาย ตอนแรกผมคิดกังวลไปถึงอนาคตว่ากลับไปจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร กลับไปจะทำงานได้เหมือนเดิมไหม ความกลัวความกังวลต่าง ๆ ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
หลังจากฟุ้งซ่านไปไกล สุดท้ายผมเริ่มตั้งสติได้ ค่อย ๆ ตัดเรื่องที่ไม่สำคัญกับชีวิตออกไปทีละอย่าง จนเหลือแต่เรื่องที่คิดว่าสำคัญกับชีวิต จึงเห็นว่ามีเรื่องหลายเรื่องและคนหลายคนที่เราตัดออกไปได้เลย และก็มีหลายเรื่องและหลายคนที่สำคัญที่เราต้องกลับไปดูแลอย่างดี สรุปสุดท้ายผมคิดเพียงอย่างเดียวว่า ต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้
ผมนอนนับลมหายใจเข้า - ออกไปเรื่อย ๆ ในใจคิดเพียงว่าต้องหายใจต่อไป เพื่อให้รอดชีวิตกลับไปเห็นหน้าทุกคนที่ผมรัก พอรถเข้ามาในตัวเมืองกัลกัตตา คนขับรถก็พาหลงอยู่ในเมืองอีกหนึ่งชั่วโมง กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็สี่ทุ่ม หมอที่โรงพยาบาลมาตรวจร่างกาย พบว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งลำไส้ฉีกขาด กล้ามเนื้อท้องฉีกขาด และไหปลาร้าหัก ซึ่งต้องเตรียมเข้าผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นทันที
คืนนั้นผมต้องนอนรวมกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ หลายสิบคนในห้องพักผู้ป่วยรวมผมได้เห็นสภาพผู้ป่วยยากไร้ของอินเดียได้ยินเสียงร้องเพราะความเจ็บปวด ยิ่งทำให้นึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิตมากขึ้น รุ่งเช้าผมเข้าผ่าตัด ต้องเย็บบาดแผลทั้งภายในและภายนอกกว่า 80 เข็ม แต่ก็ยังไม่เสร็จ เหลือการผ่าตัดไหปลาร้าที่หมอบอกว่าผ่าตัดภายหลังได้ เมื่อออกจากห้องผ่าตัดก็ย้ายมาพักในห้องพิเศษ ผมฟื้นขึ้นมาตอนประมาณตีสองพร้อมกับได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ภาพที่เห็นหลังลืมตาคือภรรยาและน้องชาย
ภรรยาเดินเข้ามาจับมือแล้วบอกว่า
“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
ส่วนน้องชายก็บอกว่าไม่ต้องห่วงอะไรเขาจะพาผมกลับบ้านให้ได้ หลังผ่าตัดผมต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี้อีกสองสัปดาห์เพื่อให้แผลผ่าตัดหายดีเสียก่อนจึงสามารถเดินทางกลับได้ ระหว่างนั้นภรรยาก็ทำเรื่องขอย้ายไปอยู่ห้องพิเศษที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้นเธอย้ายจากโรงแรมมานอนเฝ้าผมในห้องผู้ป่วย และคอยดูแลอยู่ไม่ห่างในช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ผมก็เข้าผ่าตัดไหปลาร้าและรักษาตัวต่อเป็นเวลาอีกสองสามเดือนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูมาทำงานได้เหมือนปกติ แต่โชคดีที่ผมยังรอบคอบทำประกันการเดินทางไว้ บริษัทประกันจึงเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ผมระลึกถึง “ความตาย” อยู่เสมอ จากที่แทบจะไม่เคยนึกถึงมันเลย แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความตายติดตามเราเหมือนเงา เพียงแต่เราไม่เคยหันไปมองมัน ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
เมื่อเห็นถึงความเปราะบางของชีวิตผมจึงใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายมากขึ้น เมื่อก่อนผมเลือกงานก่อนเสมอ มีเวลาก็ไปกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อน แต่ตอนนี้ผมเลือกให้ความสำคัญกับครอบครัว กลับไปหาพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์ เพราะอยากไปเจออยากดูแลท่านให้ดีกว่าเดิม ส่วนภรรยาก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกันน้อยลงมาก เพราะเราต่างเห็นใจกันและกันมากขึ้น ผมรับรู้ได้ว่าครอบครัวดีใจที่ผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สำหรับตัวเองผมเที่ยวน้อยลงและใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรอดชีวิตได้เนื่องจากร่างกายที่แข็งแรงจากการออกกำลังกายเสมอ ทำให้ผมทนพิษบาดแผลได้
อีกสิ่งที่ต้องระลึกถึงเสมอคือ “ความไม่ประมาท” ในการใช้ชีวิต ผมยอมรับว่าการเดินทางครั้งนั้นเราอาจประมาทที่เลือกเดินทางในวันที่ไม่มีเที่ยวบินตรงไปยังที่หมาย และยังเลือกเดินทางต่อในเวลากลางคืน เพราะไม่ได้คิดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
แม้ความสูญเสียครั้งนี้เป็นเหมือนบาดแผลในใจของผม แต่บาดแผลนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีสติและดำเนินชีวิตทุกวันให้มีความหมายมากขึ้นเช่นกัน
เพราะเมื่อผมรู้ว่าความ “ตาย” มีอยู่จริงผมจึงเข้าใจว่าการมีชีวิต “อยู่” มีความหมายมากเพียงใด
ข้อคิดจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัวแท้ที่จริงมันอยู่ใกล้ตัวเรามากสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีแม้จะเป็นเด็กหรือหนุ่มสาวก็ตามหากประมาทเพียงแค่ชั่วครู่ ความตายก็สามารถกระชากชีวิตไปจากเรา และพรากเราไปจากทุกคนที่รักและทุกสิ่งที่หวงแหน ดังนั้นเราจึงควรอยู่อย่างไม่ประมาท พยายามมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็พร้อมรับความตายทุกเมื่อ เพราะแม้เราจะระมัดระวังตัวเพียงใดความประมาทหรือความพลาดพลั้งของคนอื่นก็อาจทำให้เราตายได้เช่นกัน
ชีวิตที่ราบเรียบมักชวนให้เราประมาท ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งต่างๆ จนลืมคิดถึงความตาย ในทางตรงข้าม อุบัติเหตุหรือ “เคราะห์ร้าย” สามารถกระตุกใจให้เราตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิต หากประสบเหตุเหล่านี้อย่ามัวก่นด่าชะตากรรมหรือโทษเคราะห์การทำเช่นนั้นมีแต่จะซ้ำเติมตนเอง ควรจะมองว่าเหตุร้ายดังกล่าวคือสัญญาณเตือนให้เราเร่งใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ หมั่นทำความดีสร้างบุญกุศล ทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วน รวมทั้งให้เวลากับคนรักปฏิบัติกับเขาราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา ที่ขาดไม่ได้คือหมั่นฝึกตนให้พร้อมรับความตายทุกเมื่อ
ทุกครั้งก่อนออกเดินทางควรเตือนตนเองเสมอว่า ครั้งนี้อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเรา อาจไม่ได้กลับมาหาคนรักลูก และพ่อแม่ของเราอีก ดังนั้นจึงควรทำดีที่สุดกับเขาก่อนจะจากกัน ขณะเดียวกันก็เตรียมใจพร้อมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางรวมทั้งเมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว นี่มิใช่การแช่งตนเอง แต่เป็นการเตือนตนไม่ให้ประมาทอย่าลืมว่าความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวงเป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของพุทธศาสนา
เรื่อง ธีติ ศรีจันทร์ เรียบเรียง เชิญพร คงมา
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์