คุณค่าแห่ง การเกิด คือคุณค่าของ ชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้ผมพึ่งรู้จัก การเกิด อย่างแท้จริง
เสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อยขณะออกจากครรภ์ ทำให้ผมดีใจจนเกือบน้ำตาไหล เพราะนั่นบ่งบอกว่าเธอแข็งแรงดีและหายใจด้วยปอดของตัวเองได้แล้วหลังผู้เป็นแม่ฟูมฟักอยู่ในครรภ์มาเป็นเวลานาน เธอถูกอุ้มไปเช็ดตัว ดูดเสมหะภายใต้เครื่องให้ความอบอุ่นและตัดสายสะดือซึ่งถือเป็นนัยว่าสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกันทางกายภาพของแม่กับลูกได้หายไปแล้ว ต่อไปนี้เธอต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเธอเองมากขึ้น
ผมเห็นว่าคุณค่าของการเกิดขึ้นของชีวิตหนึ่ง ๆ นั้นนอกจากเป็นความสุขและความเบิกบานที่ทาทับอยู่บนความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่แล้ว หากมองให้ลึกซึ้งขึ้น ยังเป็นเรื่องที่แสดงถึงคุณค่าของชีวิตอีกด้วย หากทุกคนตระหนักและรับรู้ถึงความยากลำบากและความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการเกิดด้วยแล้ว ย่อมไม่มีใครอยากคิดสั้น หรือทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้งคงไม่มีใครคิดทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บปวดทรมาน เพราะชีวิตที่พ่อและแม่ของเขามอบให้มานั้นก็มีคุณค่าไม่ต่างกันกับเราเลย
ผมเคยดูแลผู้ป่วยที่คิดสั้นฆ่าตัวตายบ่อย ๆ มีตั้งแต่วัยรุ่นอายุน้อยจนถึงผู้ใหญ่ตอนปลายใกล้วัยชรา พวกเขาล้วนจมอยู่กับความเศร้าที่เกิดจากการปรับตัวและปรับใจรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้ และคงลืมไปแล้วว่ากว่าจะได้รับโอกาสให้เกิดมามีชีวิตนั้นยากเย็นเพียงไร คุณค่าชีวิตของพวกเขาจึงถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
มีผู้ป่วยสองคนที่ผมจำได้ดีเพราะมานอนโรงพยาบาลในเวลาใกล้ ๆ กัน คนแรกคือ วสันต์ หนุ่มน้อยวัยเพียง 14 ปี เขาถูกหามมาโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการซึม หายใจหอบ เพราะมีเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจตั้งแต่ห้องฉุกเฉิน แม่ของเขาร้องไห้ไม่หยุดและบอกให้ผมช่วยเขาด้วย เขาดื่มยาฆ่าวัชพืชไปเพราะคิดสั้นหลังทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรง เนื่องจากแม่ไม่ยอมให้เขาไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนในวันหยุดเทศกาล อีกคนหนึ่งคือ คุณป้าละมัย อายุ 65 ปี ลูกของเธอพามาโรงพยาบาลหลังเธอกินยาพาราเซตามอลไปเกือบยี่สิบเม็ด เนื่องจากเธอโกรธลูกมากที่โต้เถียงเธอในเรื่องที่เธอห้าม
เรารักษาผู้ป่วยทั้งสองคนอย่างเต็มที่ เป็นเวลานานเกือบเดือน แต่สุดท้ายแล้วก็มีคนหนึ่งต้องจากไปก่อนเวลาอันควร พร้อมฝากแผลเป็นไว้ในใจของผู้เป็นญาติไปตลอดชีวิต นี่ช่างไม่คุ้มค่าเลยกับคุณค่าของการได้เกิดมามีชีวิต
อนึ่ง หากเราลองพิจารณาให้กว้างขึ้นอีกสักหน่อย โดยมองความหมายของการเกิดให้กว้างไกลไปกว่าการเกิดในทางกายภาพ เราจะพบว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้เกิดกันครั้งเดียว แต่ทุก ๆ คนนั้นต่างมีการเกิดในทางนามธรรมกันอยู่ทุกวันทุกเวลาอีกด้วย การเกิดในลักษณะนี้เรามักลืมกันไปสนิททั้ง ๆ ที่หากใช้ให้ดีแล้วมีประโยชน์มาก ถ้าปราศจากการเกิดในทางนามธรรมเหล่านี้ คุณค่าที่แท้จริงของชีวิตก็ไม่อาจเกิดขึ้น
พุทธศาสนานั้นมักแบ่งการเกิดในทางนามธรรมนี้ออกเป็นสองแบบ แบบแรกคือการเกิดขึ้นของกุศล ยกตัวอย่างเช่นเกิดความเมตตา เกิดความกรุณา เกิดความเพียร เกิดสติและสมาธิ เป็นต้น ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้นก็คือการเกิดขึ้นของอกุศล เช่น เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นต้น การเกิดในแบบแรกนั้นถือเป็นเรื่องดีงาม ส่วนการเกิดอย่างหลังนั้นมักนำแต่ความทุกข์มาให้เสมอ
ช่วงสุดท้ายของการรักษาผู้ป่วยหนึ่งในสองคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีโอกาสได้แก้ตัวใหม่นั้น ผมมีโอกาสอธิบายให้เขาตระหนักถึงประเด็นนี้ ชี้ให้เขาได้คิดถึงความยากลำบากของผู้ให้กำเนิดทางกายภาพ และให้หมั่นสร้างการเกิดทางนามธรรมในทางกุศลอยู่เสมอ อย่าปล่อยใจให้เตลิดเกิดแต่อกุศล หากสามารถทำให้กุศลอันดีงามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะนำพาให้เขามองเห็นความสุขได้ในทุกสถานการณ์ สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างถูกต้องและเลิกคิดทำร้ายตัวเองอีกต่อไป
แล้วเขาจะพบว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าแห่งการเกิดในกุศลก็คือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตนั่นเอง
ที่มา นิตยสาร Secret คอลัมน์ Healing Story
เรื่อง นพ.ชวโรจน์ เกียรติกำพล
บทความน่าสนใจ
เกิดมาทำไม บทความน่าคิด โดย พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)