บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ ตอน 3 (จบ)
ช่วงที่จมกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ผม ( ต๊ะ บอยสเก๊าท์) โชคดีที่ได้เจอสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้
หลังจากเป็นข่าว ผมถูกตัดงานทั้งหมดจากคนทำงานก็กลายเป็นคนว่างงานและมีเวลาว่างเยอะมาก ผมจึงพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
หนังสือและกีฬาเยียวยาชีวิต
ผมชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก และเล่นกีฬามาตลอด ทั้งวอลเลย์บอลและฟุตบอล ช่วงเวลาที่ไม่มีงาน ผมจึงโหมเตะฟุตบอลอย่างหนัก คนอื่นเขาเตะกันสัปดาห์ละ2 วัน แต่ผมเตะทุกวัน ทั้งเช้าและเย็นเวลานอกเหนือจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือ
เมื่อก่อนผมไม่ได้อ่านหนังสือมากนัก มักเลือกอ่านเฉพาะหนังสือที่ตัวเองสนใจ เช่น หนังสือแต่งรถ และหนังสือตกปลา แต่หลังจากที่เป็นข่าว มีผู้กำกับภาพยนตร์คนหนึ่งมาเยี่ยม ผมไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวคิดว่าเขาคงเป็นพรรคพวกกับเพื่อนสักคนหนึ่งและอยากมาให้กำลังใจผม
เมื่อได้เจอกันผมก็ไม่ได้คุยกับเขามากเพราะในเวลานั้นยังไม่อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับใคร เขาจึงยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า Chicken Soup for the Soul ซึ่งรวบรวมเรื่องสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจตอนแรกผมไม่ได้สนใจนัก แต่พอลองอ่านกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก เพราะทำให้ผมมีกำลังใจสู้และใช้ชีวิตอยู่ต่อไป การอ่านหนังสือยังทำให้ผมมีสมาธิและเลิกคิดฟุ้งซ่าน ดังนั้นพออ่านเล่มนี้จบจึงเริ่มคิดหาหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านอีก
ผมเริ่มเข้าร้านหนังสือ วันหนึ่งก็ได้เห็นหนังสือเรื่อง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ของ คุณวินทร์ เลียววาริณ วางโชว์อยู่หน้าร้าน ลองเปิดอ่านผ่าน ๆ แล้วสนใจจึงซื้อกลับมา ทั้งที่ยังไม่รู้ชัดว่าเป็นหนังสืออะไร แต่พอตั้งใจอ่านไปสัก 3 - 4 หน้าก็รู้สึกว่านักเขียนคนนี้มีความรู้เยอะจังเลย พออ่านต่อไปเรื่อย ๆ จึงเริ่มคิดว่าโลกนี้ช่างกว้างนัก ทำไมเราถึงได้โง่งมขนาดนี้
การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเห็นคุณค่าของหนังสือ และเริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า“ความรู้คู่การอ่าน” พออ่านเล่มนี้จบก็ขนซื้อหนังสือที่สนใจมาเป็นลัง ๆ เลย ผมเริ่มอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาเพื่อนำความรู้มาเยียวยาจิตใจตัวเอง จากนั้นก็เริ่มอ่านแนวปรัชญาหนังสือ ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน ถือเป็นครูของผม เพราะสอนให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นจากที่เคยเป็นคนมองอะไรแคบ ๆ ก็เริ่มเปิดใจมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวกว้างขึ้นและลึกขึ้น
ผมบอกใคร ๆ เสมอว่าตัวเองยังพอมีบุญอยู่บ้าง จึงหันมาอ่านหนังสืออย่างจริงจังเพราะหนังสือทุกเล่มให้ข้อคิดและเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นวันร้าย ๆ มาได้ แม้ต้องใช้เวลานานนับปีก็ตาม
ความเจ็บป่วยสอนใจ
ช่วงหนึ่งผมทำธุรกิจส่วนตัว จึงทำให้เกิดความเครียดบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งป่วยหนักโดยไม่ทันตั้งตัว
วันนั้นผมคุยโทรศัพท์เรื่องงาน แล้วปลายสายทำให้ผมโกรธมาก แต่ผมไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้ พอวางสายผมก็ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ก็ยังคงเครียดและโมโหมากอยู่ดี จึงตัดสินใจออกไปเตะฟุตบอลเพื่อให้ลืมเรื่องนั้น แต่พอเริ่มวอร์มร่างกายอยู่ ๆ ก็ปวดหัวมากจนล้มลงไปกับพื้น และถูกหามส่งโรงพยาบาล
คุณหมอวินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองโป่งพอง ซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องเปิดกะโหลกผ่าตัดเส้นเลือด และมีความเสี่ยง70 : 30 ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าโอกาสรอด 70 หรือ30 อย่างไรก็ตามแม้โอกาสไม่รอดมีเพียง 30 ก็ยังเสี่ยงมาก แต่ก็ต้องยอมผ่าตัด
โชคดีที่การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี ผมค่อย ๆ พักฟื้นตัวจนหาย ความเจ็บป่วยครั้งนั้นให้ข้อคิดว่า ชีวิตคนเราสั้นนัก เราอยู่กับความไม่แน่นอน เพราะสามารถตายเวลาไหนก็ได้เพราะฉะนั้นวันนี้เราควรทำดีกับคนที่เรารักให้มากที่สุด และคิดทำแต่เรื่องดี ๆ เสมอ
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
อยู่ในวงจรของสิ่งดีๆ
ตอนที่บวชช่วงงานศพคุณแม่ แม้จิตใจไม่สงบนัก แต่ก็ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวันและหลังจากสึกออกมาแล้ว ผมไม่เคยทิ้งการไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิอีกเลย
ผมอาจไม่ได้เป็นคนเคร่งปฏิบัติมาก แต่ตั้งใจว่าจะต้องไม่ห่างจากเรื่องนี้ อย่างน้อยต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ และหาเวลาเข้าวัดสวดมนต์ นั่งสมาธิ และไปปฏิบัติธรรมบ้างเพราะผมเชื่อว่าหากทำแต่เรื่องดี ๆ เช่นนี้เป็นประจำ ผมจะได้อยู่ในวงจรความดีเช่นนี้ตลอดไป จะไม่ถูกเหวี่ยงให้ไปในทางที่เลวร้ายอีกแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขผมก็ทำบุญอยู่เสมอ อาจตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรหรือไปถวายสังฆทาน ทุกครั้งที่เข้าวัดผมจะรู้สึกสงบ นิ่ง และมีความสุข นอกจากนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้ผมคิดเป็น และน้อมนำธรรมะมาใช้จัดการความทุกข์ได้
หากวันนี้ผมต้องเผชิญกับความทุกข์ผมจะมองหาสาเหตุก่อน แล้วค่อย ๆ เริ่มแก้ไขจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมจะค่อย ๆ ปรับใจให้ยอมรับ ผมจะไม่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน หรือจมกับความทุกข์อย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
แรก ๆ มีเพื่อนบางคนหาว่าผมสร้างภาพเพราะเขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วผมชอบทำบุญและปฏิบัติธรรมมานานแล้ว อาจเป็นด้วยภาพลักษณ์ที่ดูขัดแย้ง แต่เมื่อเขาเห็นบ่อย ๆ ก็เชื่อว่าผมเป็นคนแบบนี้จริง ๆ
บางครั้งผมก็คิดว่าถ้าหากผมยังโด่งดังเหมือนในอดีต ผมอาจจะยัง “หลง” กับชื่อเสียง เงินทอง และความสุขสบาย อาจไม่ได้หันมาสนใจธรรมะหรือปฏิบัติธรรม ผมขอบคุณทุกเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามา ทำให้ผมได้เจอทั้งสุข ทุกข์ ต้องดิ้นรนต่อสู้ จนได้ข้อคิดและเข้าใจชีวิต ผมมักนั่งเล่าเรื่องตัวเองให้น้อง ๆ ศิลปินฟัง เพราะอยากให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ทุกวันนี้ผมมีความสุขได้จากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว แค่มองทุกอย่างให้เป็นบวกและเกิดความสุขใจก็ได้กำไรชีวิตแล้ว นอกจากนี้ผมกลับมาสนิทกับคุณพ่อมากขึ้น ตอนที่ดัง ๆไม่เคยพาคุณพ่อไปไหนเลย ตอนนี้กลายเป็นว่าหอบหิ้วคุณพ่อไปด้วยกันทุกที่ ตัวติดกันตลอดเพื่อชดเชยสิ่งที่ไม่เคยทำให้ท่านและคุณแม่มาก่อน
สำหรับความรักก็มีความสุขดี ผมคบกับแฟนมาได้ 11 ปีแล้ว ตอนแรกที่คบกันผมกลัวว่าครอบครัวเขาจะรับไม่ได้ที่ผมเคยมีข่าวไม่ดี แต่โชคดีว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาดูที่การกระทำของผมมากกว่า จึงคบกันได้ไม่มีปัญหา ตอนนี้ก็วางแผนว่าน่าจะมีข่าวดีในอีกสองสามปีข้างหน้านี้
ส่วนเรื่องงานในวงการ จริง ๆ ผมไม่ได้หายไปไหน ยังมีงานอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่น้อยลง ซึ่งผมก็รับได้ ไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะว่าอายุขนาดนี้ เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่รู้จักผมแล้ว แต่ตอนนี้ก็ทำงานเพลงเองกับเพื่อน ๆ และซิงเกิ้ลเพลงใหม่ออกมาให้ฟังกันแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมีแฟนเพลงเก่า ๆ เข้ามาทักทายกันเสมอ ซึ่งผมก็ดีใจมาก และถือเป็นกำลังใจสำคัญของผม
ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ ขึ้นสู่จุดสูงสุด และดิ่งลงไปยังจุดต่ำสุด กลายมาเป็น “บทเรียน”สำคัญที่สอนว่า ชีวิตคือ “การต่อสู้” เมื่อไหร่ที่ล้ม ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ และสู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
ขอขอบคุณ : Y Factory & Light Café ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โทร. 0-2538-3354, 09-1946-1624
เรื่อง วินรวีร์ ใหญ่เสมอ เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์