หนีโลก! ฆ่าตัวตาย ! แต่แล้วก็ไม่สามารถหนีทุกอย่างไปได้จริง
*คำเตือน: ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เมื่อก่อน พอได้ยินใครบอกว่าเด็กก็เหมือนผ้าขาว เลี้ยงอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลย แต่พอหันมามองชีวิตตัวเอง ตอนนี้ดิฉันจึงเชื่อ…อย่างสนิทใจ
ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 55 ปีที่แล้วดิฉันเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยมาก เรียกได้ว่าติดอันดับท็อปเทนของจังหวัด เตี่ยของดิฉันเป็นคนรูปหล่อ ขาว สูง และเจ้าชู้ เตี่ยมีเมียเล็กเมียน้อยทั่วจังหวัด แต่ไม่เคยเลี้ยงดูใครจริงจัง ในขณะที่แม่ของดิฉันค่อนข้างขี้ริ้ว ตัวเล็ก เป็นคนจีนที่มีผิวสองสี ตั้งแต่ก่อนจะมีดิฉัน พวกท่านก็ทะเลาะกันแทบไม่เว้นแต่ละวันแล้ว
มีคนเล่าให้ฟังว่า เตี่ยกับแม่ตีกันจนถึงวันคลอด ดิฉันจึงเป็นเด็กขี้แย ร้องโยเยตั้งแต่เกิด เตี่ยรำคาญมาก จึงมักตีดิฉันแรง ๆ ตั้งแต่แบเบาะ พอโตขึ้นอายุได้ไม่เท่าไร เตี่ยก็สั่งให้ดิฉันทำงานบ้านทุกอย่างไม่ว่าจะกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้าหุงข้าว ทำกับข้าวเลี้ยงคนทั้งบ้าน หรืออีกมากมาย ซึ่งก็แปลกที่งานเหล่านี้ ดิฉันเป็นคนเดียวที่ต้องทำ ในขณะที่พี่ชายและน้องสาวอีกสี่คนไม่เคยช่วยหยิบจับอะไรเลย
เวลาจะสั่งให้ดิฉันทำอะไร เตี่ยจะบอกเป็นภาษาจีนเท่านั้น ทั้งที่ดิฉันไม่รู้ภาษาจีนเลย เพราะฉะนั้นเวลาเตี่ยใช้ให้ไปหยิบอะไรสักอย่าง เช่น จานข้าว แก้วน้ำไม้กวาด ฯลฯ ดิฉันจึงต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบกว่าจะหยิบถูก พอหยิบผิดก็จะโดนตวาด โดนด่า และแม้จะหยิบถูก เตี่ยก็มักจะเอาของสิ่งนั้นฟาดตีดิฉัน…เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นตอนที่ดิฉันอายุแค่ 7 - 8 ขวบเท่านั้นเอง
บ้านเราตอนนั้นมีเด็ก ๆ อยู่หลายคนเป็นลูกเตี่ยกับแม่ 6 คน เป็นหลานเตี่ยอีก 3 คน ตอนเช้า เด็ก 9 คนก็จะเข้าแถวตามลำดับรอรับค่าขนมจากเตี่ย เตี่ยกำเงินเหรียญหยอดใส่มือให้ทีละคน ๆ แต่พอถึงดิฉันเตี่ยก็เว้น…ข้ามไปแจกเงินน้อง ๆ ต่อจนครบพอโตขึ้นมาอีกหน่อย ดิฉันก็เริ่มขโมยเล็กขโมยน้อยเพื่อความอยู่รอด ดิฉันเคยขโมยเงินของคนข้างบ้านที่ไปรับจ้างเลี้ยงลูกให้เขาพอถูกจับได้ ตั้งแต่นั้นมาทั้งเตี่ย แม่ และพี่น้องก็หมายหัวว่าดิฉันเป็นคนขี้ขโมย
นอกจากเตี่ยที่ไม่เคยใจดีกับดิฉันเลยดิฉันก็ยังต้องคอยรองรับอารมณ์จากแม่ด้วยแม่มักจะด่าว่าเตี่ยให้ดิฉันฟังเสมอ และก็ตีดิฉันจนเคยมือเช่นเดียวกับเตี่ย ส่วนพี่น้องก็ไม่มีใครอนาทรดิฉันสักเท่าไร แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อดิฉันก็ไม่เคยมีน้ำใจให้พวกเขาเหมือนกัน จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ ดิฉันหวงของเล่นมาก แค่น้องสาวมาแตะตุ๊กตาตัวโปรดเข้าเท่านั้น ดิฉันก็ตบหน้าน้องทันทีเพราะไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากทางบ้าน ดิฉันจึงเป็นคนที่มีจิตใจหยาบกระด้าง หากถูกใครทำร้าย ดิฉันจะเอาคืนให้ถึงที่สุด ตอนถูกเตี่ยด่า ดิฉันหุบปากเงียบก็จริง แต่พอเตี่ยหันหลัง เด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวคนนี้ก็จะชี้นิ้วไปที่เตี่ยตาลุกโพลง ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ทั้งคำว่าปีศาจ นรก อเวจี ฯลฯ ดิฉันยกมาด่าได้หมดทุกคำ
ถึงแม้จะไม่มีความสุขในบ้านของตัวเองเลย แต่ข้อดีของการเป็นลูกคนรวยคือการได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ ดิฉันเรียนโรงเรียนคาทอลิกประจำจังหวัด พูด ฟังอ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ดีมาก จากนั้นจึงเข้ากรุงเทพฯมาเรียนต่อระดับอนุปริญญาสาขาธุรกิจบริหารโรงแรมและมัคคุเทศก์หลังเรียนจบดิฉันก็ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมแห่งหนึ่ง มีรายได้ดีมาก
สมัยสาว ๆ ดิฉันแต่งตัวเฟี้ยวฟ้าวเป็นสาวเปรี้ยว หน้าตาจัดเต็มตลอด บุคลิกดีพูดเก่ง ภาษาอังกฤษคล่องเปรี๊ยะ แถมยังอ่อนหวาน ทั้งนี้ต้องวงเล็บว่า…ในยามไม่โมโห เพราะฉะนั้นจึงมีหนุ่มหลายชาติหลายภาษามาจีบ แต่สุดท้ายเวรกรรมก็ทำให้ดิฉันมาแต่งงานกับสามีที่มีคุณสมบัติด้อยกว่าผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ที่ร้ายที่สุดคือเขาไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ซึ่งข้อนี้ดิฉันเพิ่งจะรู้ซึ้งก็ตอนที่ตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกับเขาแล้ว
ดิฉันกับสามีย้ายมาตั้งรกรากที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เราเปิดร้านขายยา เพราะสามีเคยเป็นลูกจ้างร้านขายยามาก่อน สามีเคยขายยาทำแท้งด้วย มาที่นี่ดิฉันก็ขายตามเขาโดยที่ไม่รู้สึกผิด กิจการรุ่งเรืองถึงขนาดที่ต้องเปิด 2 ร้านพร้อมกัน หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการทำบาปทำกรรมที่หนักหนาสุด ๆ
หลังจากมีลูกคนแรก ดิฉันรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องบนเตียงมาก เพราะสมัยวัยรุ่นดิฉันเกือบจะถูกญาติตัวเองข่มขืน…ญาติซึ่งเป็นหลานที่เตี่ยรักนักรักหนานั่นแหละ แม้ครั้งนั้นดิฉันจะรอดมาได้ แต่ก็กลายเป็นบาดแผลในใจแต่ทว่าสามีกลับชอบเรื่องพวกนี้มาก ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจึงลุ่ม ๆ ดอน ๆ คนทางบ้านดิฉันก็เกลียดเขา คนทางบ้านเขาก็เกลียดดิฉัน ดิฉันขอเลิกกับสามีหลายครั้งแต่เขาไม่ยอม
กระทั่งวันหนึ่งดิฉันขับรถกลับจากโรงพยาบาล หลังจากไปนอนให้หมอดูอาการไซนัสมาสองวัน โดยที่สามีไม่เคยไปเยี่ยมเลย เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็ยังพูดไม่ดีใส่อีกเขาพูดอะไรดิฉันจำไม่ได้แล้ว เพราะที่จริงเรื่องมันเล็กน้อยมาก แต่ด้วยปัญหาต่าง ๆนานาที่สะสมมาตลอด คำพูดนั้นก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ดิฉันเครียดจนถึงขีดสุด ด้วยความโกรธจนขาดสติ…เพียงชั่วแวบเดียว…ดิฉันก็กระโดดพุ่งตัวจากชั้นสองของบ้านลงมา บ้านหลังนี้สร้างอยู่ริมเขา ด้านล่างมีแต่หินก้อนใหญ่ ๆ ผลคือ…เข่าหัก ร่างกระแทกหิน เจ็บสาหัสไปทั้งตัว
จะว่าไปแล้ว ดิฉันก็น่าจะตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่กลับไม่ตาย ต้องนอนให้หมอต่อกระดูกเข่าที่หักและกระดูกสันหลังที่ยุบอยู่ในโรงพยาบาลถึงหนึ่งเดือนเต็ม
หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็เลิกธุรกิจร้านขายยา และหันมาทำงานรับเหมาก่อสร้างแทน ธุรกิจนี้ทำให้ดิฉันจับเงินล้านเป็นว่าเล่นมักได้งานประมูลเสมอ ๆ ในขณะที่สามีก็เริ่มสนใจเล่นการเมืองท้องถิ่น ดิฉันเห็นว่าถ้าสามีได้เป็นใหญ่เป็นโตก็จะช่วยสนับสนุนธุรกิจของเราด้วย ดิฉันจึงสนับสนุนสามีกระทั่งเขาได้เป็นนายก อบต.ติดต่อกัน 3 สมัย
ดิฉันน่าจะเป็นหลังบ้านนักการเมืองที่ได้คะแนนเต็มสิบ เพราะดิฉันช่วยสามีได้ทุกเรื่อง คุมคนงานก็ได้ เข้าถึงชาวบ้านเอาอกเอาใจผู้ใหญ่เก่ง งานสังคมไม่เคยพร่องเวลาจังหวัดจัดงานสำคัญ ๆ ก็จะเชิญดิฉันไปเป็นแม่งาน ดิฉันจัดประกวดนางงาม จับไมค์ร้องเพลงช่วยหาทุน ฯลฯ เรียกว่าเป็นคนมีหน้ามีตาของจังหวัด และมีคนรักมากกว่าคนชัง
แต่แล้วในที่สุดก็มีเหตุทำให้ดิฉันต้องย้ายออกจากจังหวัดนั้น เพราะสามีเกิดไปขัดแย้งกับนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง เรื่องทำท่าจะลุกลามถึงขั้นเอาชีวิต ดิฉันขายธุรกิจทุกอย่าง จากนั้นก็ไปเปิดโรงงานเย็บผ้าทางภาคอีสาน แต่งานนี้ทำกำไรดีแค่ปีเดียวดิฉันจึงชวนสามีกลับมาค้าขายที่บ้านเดิม
คราวนี้ดิฉันมาเปิดร้านขายข้าวสารอาหารสัตว์ โฟม พลาสติก ฯลฯ โดยน้องสาวมาช่วยลงสินค้าให้ก่อน อีกสองสามวันจึงค่อยมาเคลียร์เงิน ซึ่งตามเคยช่วงปีแรก ๆ กำไรดีมาก ทุกคนแฮ็ปปี้ จนมาช่วงหลัง ดิฉันปล่อยให้สามีดูร้านคนเดียวธุรกิจก็เริ่มขาดทุน สินค้าขายออกไปแล้ว แต่กลับไม่มีเงินเข้ามาเลย
ช่วงนั้นเหมือนผีบังตา แทนที่จะนึกเอะใจและไปไล่เบี้ยกับสามีเพื่อหาสาเหตุดิฉันกลับเอาแต่ยืนยันกับน้องเสียงแข็งว่า“ไม่ได้เอาเงินไป” น้องก็เถียงว่า “ถ้าไม่เอาไป ทำไมของถึงไม่เหลือ…อีขี้โกง อีขี้ขโมย”ดิฉันตอบไม่ได้ ได้แต่โกรธน้องจนตัวสั่นจากนั้นก็ช็อกหมดสติไปเลย…
มารู้สึกตัวอีกที พบว่าตัวเองอยู่ในบ้านอีกหลังของสามี สามีบอกว่า ร้าน บ้านรถ เงินทองที่สะสมมาทั้งหมดถูกน้องสาวยึดไป ถือเป็นการใช้หนี้ เขาบอกว่า ดิฉันเป็นบ้า อาละวาด ทำร้ายคน จนหมอต้องช็อร์ตไฟฟ้าเพื่อให้หายคลั่ง
ความทรงจำของดิฉันหายไปถึง 3 เดือนอันที่จริงดิฉันจำวันสุดท้ายก่อนหมดสติไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหตุการณ์ข้างต้นเป็นเรื่องที่สามีเล่าให้ฟัง ดิฉันกลายเป็นคนเซื่องซึม เชื่องช้าบางครั้งแค่จะหยิบของสักอย่าง มือก็ไม่ยอมขยับตาม ดิฉันต้องอยู่ในบ้านคนเดียวน้องสะใภ้ของสามีให้เงินใช้แค่วันละ 30 บาทซึ่งก็แทบไม่พอกินไม่พอใช้ พอเริ่มเดินเหินได้คล่อง ดิฉันจึงไปของานทำในร้านขายข้าวแกง เจ้าของร้านเมตตาดิฉันมาก ยอมให้ทำงานทั้งที่ยังหยิบจับไม่คล่องและเชื่องช้าเต็มที ดิฉันเป็นลูกมือหั่นผักบ้าง ล้างจานบ้าง ทำกับข้าวบ้าง แลกกับอาหารสามมื้อและเงินวันละ 100 บาท จะว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะดิฉันเคยถูกกระทำอย่างโหดร้ายมาตั้งแต่เล็ก จึงปรับตัวได้โดยไม่ลำบากนัก
ทว่าสายตาของคนรอบข้างต่างหากเป็นปัญหาทิ่มแทงจิตใจดิฉัน จะว่าคิดไปเองหรือไม่ก็ตาม ดิฉันรู้สึกว่าชาวบ้านแถวนั้นมักจะมองดิฉันด้วยสายตาดูถูก ยิ่งนึกไปถึงเงินทองและชีวิตเก่า ๆ ก็ยิ่งเครียด ในที่สุดความทุกข์ก็ทำให้ดิฉันหวนกลับมาคิดถึงบาปบุญคุณโทษเป็นครั้งแรก
ดิฉันคิดได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยทำอะไรดี ๆ เพื่อใครเลย ถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว และสิ่งแรกที่คนหมดตัวอย่างดิฉันทำได้ก็คือ บริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลที่ดิฉันต้องไปพบหมอจิตเวชทุกเดือน
หลังจากนั้นดิฉันก็หันมาสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น เมื่อเวลาผ่านไป ดิฉันก็รู้สึกว่าสติแจ่มใสขึ้นมาก เรื่องทรัพย์สินถูกยึดถูกช็อร์ตไฟฟ้าอะไรนั่น ช่างมันเถอะ ดิฉันไม่ได้ติดใจในเรื่องเหล่านี้มากเท่ากับว่า “ทำไมสามีถึงไม่มาเยี่ยมดิฉันเลย”
ไม่ไกลจากบ้านที่ดิฉันอยู่ มีโรงงานทำปุ๋ยของน้องชายสามีตั้งอยู่ ดิฉันสงสัยมานานแล้วว่าเจ้าของโรงงานที่แท้จริงน่าจะเป็นสามีดิฉันมากกว่า วันหนึ่งดิฉันจึงตามไปดูที่โรงงาน และได้เห็นสามีของตัวเองอยู่ที่นั่น…กับเมียใหม่ซึ่งอายุน้อยกว่าลูกของเราเสียอีก เด็กคนนี้ที่จริงเคยเป็นลูกจ้างในโรงงานเย็บผ้าของดิฉันเมื่อ 7 ปีก่อน พอเห็นเขาอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ ดิฉันร้องอ๋อกับตัวเองทันทีว่าเงินทองที่หายไปตลอดหลายปีมานี้ สามีเอาไปเลี้ยงเมียน้อยนี่เอง หนำซ้ำยังมารู้ภายหลังอีกว่า โรงงานนี้ความจริงเป็นของสามี แต่เขาโอนทรัพย์สินทุกอย่างเป็นชื่อญาติพี่น้องหมด เพื่อให้ดิฉันไม่สามารถฟ้องร้องได้
เมื่อดิฉันรู้ความจริง แทนที่สามีจะละอายใจ เขากลับตั้งป้อมด่าว่าดิฉันจนไม่เหลือชิ้นดี ดิฉันไปหาเขาแค่สองครั้งเท่านั้นก็ไม่ไปอีก นั่นคือจุดต่ำสุดของชีวิตดิฉันเลยก็ว่าได้
หลังจากผ่านหลายเหตุการณ์ที่หนักหนาที่สุดในชีวิต นอกจากดิฉันจะเยียวยาจิตใจตัวเองด้วยการสวดมนต์แล้ว ดิฉันก็เริ่มเจียดเงินมาซื้ออาหารใส่บาตร พอถึงวันพระดิฉันก็ไปวัด และจากที่ไปวัดใกล้บ้าน ในที่สุดก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อจบคอร์ส ดิฉันกราบเรียนพระอาจารย์ว่าขอให้ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆเพราะดิฉันไม่มีที่พึ่งแล้ว ซ้ำยังขอเงินค่ารถค่ายาจากท่านด้วย เพราะดิฉันยังต้องไปหาหมอทุกเดือน ซึ่งท่านก็อนุญาตตามที่ดิฉันขอทุกอย่าง
ตอนปฏิบัติธรรมช่วงแรก ๆ ดิฉันไม่สามารถเอ่ยชื่อหรือแผ่เมตตาให้คนที่ทำร้ายดิฉันได้เลย แต่ถึงวันนี้ดิฉันไม่รู้สึกโกรธแค้นใครอีกแล้ว เวลานั่งกรรมฐานก็จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง
…ให้เตี่ยที่ตอนนี้ไม่ได้มั่งมีเหมือนเก่าและต้องอยู่ตัวคนเดียว
…ให้แม่และญาติพี่น้องทุกคน
…ให้ลูกที่ดิฉันไม่ได้เลี้ยงดูใกล้ชิดปล่อยให้เขาเห็นแต่ภาคที่ดุร้าย อาละวาดเขาจึงไม่ได้ดูแลดิฉัน
แม้แต่สามี ดิฉันก็เห็นใจเขา ดิฉันเคยโหดร้ายกับเขา เคยถึงกับจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากเขา ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะจากดิฉันไป
ตอนนี้ดิฉันออกจากวัดของพระอาจารย์เพื่อมาเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเอง ดิฉันไม่ขออะไรนอกจากให้มีเงินเลี้ยงชีพ และมีเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขัดเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
กรรมใดก็ตามที่ทุกคนทำต่อดิฉันดิฉันอภัยให้หมดแล้ว หากแต่ยังหวังว่าสักวันจะมีคนให้อภัยและให้โอกาสดิฉันบ้างเท่านั้น
คำแนะนำจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตไม่เพียงทำร้ายจิตใจของเรา หากยังเป็นเสมือนกรงขังที่จองจำจิตใจไม่ให้พบกับความสว่างไสว อย่างไรก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะเรายอมให้มันมีอิทธิพลต่อเรา ด้วยการครุ่นคิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและผูกใจเจ็บพยาบาทไม่เลิกรา
เราทุกคนสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้ การหมั่นทำความดีจะช่วยเติมความสว่างให้แก่จิตใจของเรา ดึงเอาพลังบวกออกมาจากส่วนลึกจนสามารถขับไล่ความรู้สึกนึกคิดในทางลบได้ ขณะเดียวกันการให้อภัยก็จะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจเรา และทำให้เหตุการณ์เลวร้ายในอดีตไม่สามารถทิ่มแทงจิตใจเราได้อีกต่อไป นึกถึงเมื่อใดก็ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว กลับได้บทเรียนหรือคติธรรมจากมันด้วยซ้ำ
การให้อภัยสามารถพาชีวิตของเราออกจากความมืดและช่วยให้เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างแท้จริง ส่วนความดีที่กระทำต่อผู้อื่นนั้น ก็ไม่เคยสูญเปล่า สามารถดึงดูดความดีและความโอบอ้อมอารีของผู้อื่นมาสู่เราได้ ขณะเดียวกัน ขอให้มั่นใจในพระธรรมว่าจะนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้ แม้จะไม่ร่ำรวย ไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสุขแท้นั้นพบได้ที่ใจเรานี้เอง
เรื่อง การันต์
หากใครมีเรื่องราวชีวิตจริงที่อยากแบ่งปัน สามารถส่งเรื่องเข้ามาได้ที่อีเมล therranuch_pa@amarin.co.th