กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ – นิตยสาร Secret
พระพุทธศาสนากับการกิน มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งคือไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาระบบในร่างกายยังส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจได้ด้วย – กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ
กินแบบมีสติ
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ชาวพุทธควรมีสติทุกอิริยาบถ ตั้งแต่นั่ง ยืน เดินนอน หรือแม้กระทั่งขณะกิน ไบรอัน เชลลีย์ (Brian Shelley) ผู้อำนวยการศูนย์ดูแลสุขภาพเฟิร์สต์ช้อยส์(First Choice Community Healthcare)ในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกานำวิธีกินอาหารอย่างมีสติมาสอนในศูนย์ดูแลสุขภาพ เขากล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่าการกินอย่างมีสติไม่ใช่การกินที่มัวระวังเรื่องแคลอรีหรือมุ่งไปที่รสชาติอาหาร แต่คือการมีสติรู้ตัวว่ากำลังกินอาหาร ซึ่งช่วยให้ตระหนักรู้ว่า ปริมาณอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างแท้จริงนั้นไม่มากเท่าตอนที่เรารีบร้อนกินด้วยความอยาก การฝึกกินช้า ๆ เพียงวันละ10 นาที ช่วยเสริมศักยภาพของร่างกายในการจับสัญญาณความอิ่มแบบพอดี ๆ ได้
แนวคิดนี้คล้ายกับ เมเกรตต์ เฟลตเชอร์(Megrette Fletcher) ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์การกินอย่างมีสติ (The Center forMindful Eating) ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เล่าว่า คนเราอาจชอบกินขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ใช่ว่าต้องกินขนมหวานทุกครั้งที่เห็น เมื่อไหร่ที่มีสติ เราสามารถเลือกได้ว่าจะกินหรือไม่กินไม่ใช่กินเพราะเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติของร่างกาย
มิเชลล์ เมย์ (Michelle May) ผู้ริเริ่มกิจกรรม “ฉันหิวจริงหรือ” (Am I Hungry?)กิจกรรมเวิร์คชอปเพื่อการกินอย่างมีสติ(Mindful Eating Program) ของศูนย์การกินอย่างมีสติ แนะนำวิธีการกินอย่างมีสติง่าย ๆ เอาไว้ว่า ลำดับแรกต้องถามตัวเองก่อนว่า “ฉันจะกินไปทำไม” กินเพราะหิวอยาก เหนื่อย หรือเครียด จากนั้นเมื่อรู้สึกหิวหรืออยากกินให้ถามตัวเองว่า “ฉันจะกินเมื่อไร” แล้วถามตัวเองต่อไปว่า “ฉันจะกินอะไร” กินอาหารที่มีคุณค่า อาหารอร่อยหรืออาหารที่กินสะดวก จากนั้นถามต่อว่า“ฉันจะกินอย่างไร” กินอย่างเร่งรีบ กินไปคุยกับเพื่อนไป หรือค่อย ๆ กินอย่างมีสติแล้วถามว่า “ฉันจะกินมากเท่าไร” ชิ้นเดียวหมดทั้งโหล หรือตามความอิ่ม สุดท้าย
ให้ถามว่า “พลังงานของอาหารที่กินจะไปอยู่ที่ไหน” เราจะใช้พลังงานขณะทำงานหรือออกกำลังกายหมดหรือไม่
เมื่อถามตัวเองได้อย่างนี้ทุกครั้ง จะทำให้เรามีสติรู้ตัวมากขึ้นว่ากำลังทำอะไรและช่วยปรับพฤติกรรมการกินไม่ให้ไหลไปตามความอยากเหมือนเช่นเคย
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นิโคลัสนอแมน (Nicholas Nauman) พ่อครัวชาวอเมริกันที่เคยไปเยือนวัดในประเทศอินเดียเขาสังเกตว่าพระสงฆ์ที่นั่นฉันอาหารเช้าอย่างสงบและมีสติ ความศรัทธาต่อวิถีการกินของพระสงฆ์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “วันกินเงียบ”ในร้านอาหารออร์แกนิกชื่อ “อีท” (Eat) ที่รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
นิโคลัสจัดวันกินอาหารในความเงียบเดือนละครั้ง โดยตั้งกฎห้ามลูกค้า พ่อครัวบริกร และพนักงานทุกคนในร้านพูดคุยกันในช่วงเวลา 90 นาทีของการกินอาหาร รวมทั้งต้องปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ลูกค้ามีสติมากที่สุดขณะกำลังละเลียดอาหารตามแบบพระสงฆ์ในอินเดีย ชาวนิวยอร์กตอบรับแนวความคิดนี้ดีเกินคาด ถึงขนาดต้องจองโต๊ะล่วงหน้าหลายวัน จนในที่สุดเจ้าของร้านต้องจัดสัปดาห์ละครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือสติที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นขณะกินอาหารสามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่การใช้ชีวิตได้อย่างที่เราไม่รู้ตัว
รู้หรือไม่ ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระวรกายอ้วนท้วนมาก เพราะเสวยพระกระยาหารมากเกินไป วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า “บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้ามีอายุยืนนาน” (สุตตันตปิฎก เล่ม 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ 365 หน้า 116) พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดาของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร ผลปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จในที่สุด
กินแบบละกิเลส
หลายคนกินอาหารมังสวิรัติเพราะเชื่อว่าเป็นวิธีการสร้างบุญกุศล เพราะไม่ได้กระทำปาณาติบาต แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ของการกินอาหารมังสวิรัติมีมากกว่านั้น ที่ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการกินอาหารมังสวิรัติตามต้นตำรับดั้งเดิมของวัดญี่ปุ่นที่เรียกว่า โชจิน เรียวริ (Shojin Ryori) หรืออาหารมังสวิรัติแบบเซ็นที่พระสงฆ์เป็นผู้ปรุงด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากอาหารมังสวิรัติที่คนไทยคุ้นเคยตรงที่อาหารเหล่านี้เป็นอาหารเฉพาะสำหรับพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมในวัดญี่ปุ่น ที่มีกระบวนการปรุงอย่างพิถีพิถันและมีปรัชญาธรรมซุกซ่อนอยู่ด้วย
โชจิน เรียวริ คืออาหารที่ไม่เน้นรสชาติหรือความอร่อย เพื่อฝึกการละกิเลส ลดความยินดีต่อรูปและรสที่ปรุงแต่งขึ้นมา การปรุงยึดหลักการโกชิกิโกโฮโกมิ (Goshiki Goho Gomi)หรือการเลือกใช้วัตถุดิบ 5 สี ได้แก่ แดง ขาว ดำ เหลือง และเขียว จำพวกพืช ผัก ถั่วและสาหร่าย เพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ แต่ละมื้อต้องมีทั้งอาหารสดและอาหารที่ปรุงด้วยการย่าง ตุ๋น ทอด นึ่ง และมีรสชาติ 5 รสชาติ ได้แก่ เค็ม หวานเปรี้ยว ขม และเผ็ด กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้พระสงฆ์ได้ฝึกสมาธิ ความอดทน และพิจารณาส่วนประกอบของอาหารไปด้วยในตัว
เมื่ออาหารสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องปรนนิบัติทางร่างกายและจิตใจ คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครคนหนึ่งจะเข้าถึงธรรมได้บนโต๊ะอาหาร
กินแบบตระหนักรู้
เดิม องค์ทะไลลามะ ไม่ฉันมังสวิรัติท่านตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมการฉันอาหารมาเป็นแบบมังสวิรัติเมื่ออายุ 70 พรรษาเพราะไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ไก่ในฟาร์มเลี้ยงที่ไม่ได้มาตรฐานแห่งหนึ่ง ต่อมาไม่นานท่านอาพาธ แพทย์จึงแนะนำให้ท่านกลับไปฉันอาหารเช่นเดิม ถึงอย่างนั้นองค์ทะไลลามะก็ได้รณรงค์แนวคิดเรื่องมังสวิรัติให้ผู้คนในอินเดียรับรู้เรื่อยมา เพราะเห็นว่าการกินมังสวิรัติเป็นการเคารพทุกสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ต้องเบียดเบียนหรือทรมานสัตว์ใด ๆ สอดคล้องกับแนวทางของพุทธ-ศาสนาเรื่องความเมตตาและอหิงสาหรือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น
จนเมื่อปี 2548 องค์ทะไลลามะหันมาฉันอาหารมังสวิรัติอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีแพทย์ท่านใดขัดขวางอีกแล้ว เพราะปัจจุบันแพทย์ชาวทิเบตตระหนักถึงประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึง เท็นซินเซฟาล (Tenzin Tsephal) ผู้อำนวยการการแพทย์ทิเบต ซึ่งกล่าวว่า การที่แพทย์สั่งให้คนไข้กินเนื้อสัตว์เป็นความคิดล้าสมัยไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่องค์ทะไลลามะต้องฉันเนื้อสัตว์แต่อย่างใด
เมื่อการกินอาหารมีความสัมพันธ์กับทุกชีวิตในสังคมเช่นนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการกินอาหารไม่ใช่เพียงแค่การบำบัดทุกข์ให้ตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่มเพาะจิตใจเราและสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้ด้วย
รู้หรือไม่ พระทิเบตส่วนใหญ่ต่างจากพระจีนและชาวพุทธที่นับถือพระแม่กวนอิม ตรงที่ท่านไม่ได้ละเว้นการฉันเนื้อ แต่มักหลีกเลี่ยงการฉันอาหารทะเล เพราะเชื่อว่าชีวิตเล็กๆ ของสัตว์ทะเลไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ ทำให้ต้องเบียดเบียนสัตว์เป็นจำนวนมาก ต่างจากสัตว์ใหญ่อย่างจามรีหนึ่งตัวที่เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้าน
เรื่องจาก : นิตยสาร Secret คอลัมน์ open eyes open mind
บทความที่น่าสนใจ
ความประมาท 5 ประการที่ชาวพุทธควรหลีกเลี่ยง บทความดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี
เคล็ดลับอยู่ร่วมกับคนอื่นแบบเป็นสุข 6 หลักธรรมที่ชาวพุทธควรรู้
“ การสร้างกรรมดี ” กับ “ การชดใช้กรรม ” ความต่างที่ชาวพุทธมักแยกไม่ออก