อยู่อย่างไร ตายอย่างนั้น บทความเตือนสติจาก พระไพศาล วิสาโล
ครูเบญจา เป็นครูที่ดุและเข้มงวดมาก ใช่แต่เท่านั้น ยังมักอารมณ์เสียใส่นักเรียนบ่อยๆ มีเรื่องตำหนินักเรียนไม่เว้นแต่ละวัน การลงโทษด้วยไม้เรียวเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ จนนักเรียนทั้งชั้นกลัวเกรงมาก เวลาอยู่นอกห้องเรียนหากเห็นครูเบญจาเดินมาแต่ไกล นักเรียนจะเลี่ยงไปอีกทางทันที อยู่อย่างไร ตายอย่างนั้น
ปีแล้วปีเล่าที่ครูเบญจาสอนหนังสือโดยใช้พระเดชเป็นที่ตั้ง จนเกษียณอายุแล้ว ครูเบญจาก็ยังคิดว่าตนเป็นครูอยู่ จึงชอบเคี่ยวเข็ญสั่งการหรือต่อว่าคนรอบข้างเป็นอาจิณ จนกลายเป็นเผด็จการในสายตาของลูกหลาน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรืออยากพูดคุยด้วย
แล้ววันหนึ่งครูเบญจาก็พบว่าตนเป็นมะเร็งเต้านม เมื่ออาการลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้าย ครูเบญจาถูกส่งมารักษาที่โรงพยาบาล แม้ป่วยหนัก ครูเบญจายังไม่ทิ้งนิสัยเดิม ใครที่อยู่ใกล้เป็นต้องถูกตำหนิติเตียนหรือถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ไม่เว้นกระทั่งแพทย์และพยาบาล ซ้ำยังถูกต่อว่า นินทาลับหลัง จนเป็นที่เอือมระอาของผู้คน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่มีใครอยากไปข้องแวะกับครูเบญจา
เป็นที่สังเกตว่า ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล มีคนมาเยี่ยมครูเบญจาน้อยมาก ลูกหลานนานๆ จะมาสักครั้ง ครูเบญจาจึงนอนซมอยู่บนเตียงผู้เดียวเป็นส่วนใหญ่ ดูเหงาหงอย ไม่มีความสุข ขณะเดียวกันจิตใจก็ว้าวุ่น เพราะไม่เคยรู้สึกพอใจกับอะไรเลยสักอย่าง
เมื่ออาการทรุดหนักครูเบญจาก็มีสติฟั่นเฟือนถึงกับเพ้อ เวลาแพทย์และพยาบาลมาข้างเตียง ครูเบญจาจะจ้องตา ชี้นิ้ว พร้อมกับสั่งแกมตะคอกว่า “เริ่ม….เริ่ม” ซึ่งเป็นคำพูดติดปากเวลาสั่งให้นักเรียนเริ่มต้นท่องหรืออ่านหนังสือหน้าชั้น
คืนที่ครูเบญจาเสียชีวิตนั้น ไม่มีลูกหลานหรือญาติมิตรอยู่ดูใจสักคน แม้แต่คนที่แพทย์จะขอคำปรึกษาเพื่อตัดสินใจช่วยชีวิตหากหัวใจหยุดเต้นก็ใช้เวลานานกว่าจะติดต่อได้ ในที่สุดครูเบญจาก็สิ้นใจคามือบุรุษพยาบาลที่พยายามปั๊มหัวใจอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ครูเบญจาเคยแสดงเจตจำนงว่าขอปฏิเสธวิธีดังกล่าวก็ตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกหลานครูเบญจามารับศพอย่างพร้อมหน้า แต่ทุกคนยืนอออยู่หน้าห้องดับจิต ไม่มีใครยอมเข้าไปดูหน้าครูเบญจายามสิ้นลม เมื่อศพเคลื่อนออกจากห้อง ลูกหลานก็ถอยห่างและใช้ลิฟต์คนละตัวกับครูเบญจา ต่อเมื่อบรรจุศพในโลงเรียบร้อยแล้วลูกหลานจึงมาขอขมาข้างโลง
แม้ครูเบญจามีลูกหลาน ญาติมิตรมากมาย แต่วาระสุดท้ายของครูเบญจาไม่ต่างจากคนไร้ญาติขาดมิตร ครูเบญจาสิ้นลมโดยไม่มีใครสักคนมาดูใจ กระทั่งเป็นศพแล้วก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ชีวิตบั้นปลายของครูเบญจาอยู่อย่างหงอยเหงาและตายอย่างโดดเดี่ยว
ใช่หรือไม่ว่า เราอยู่อย่างไรก็ตายอย่างนั้น หากอยู่อย่างกราดเกรี้ยวก็จะตายอย่างกราดเกรี้ยว หากอยู่อย่างว้าวุ่นใจ จ้องจับผิดคนอื่นตลอดเวลา ความรู้สึกลบก็จะตามไปรบกวนจิตใจจนสิ้นลม ในยามที่มีชีวิตอยู่หากใช้อำนาจหรือทำตามอำเภอใจจนใครๆ ไม่อยากอยู่ใกล้ เมื่อถึงคราวจะตายก็ยากที่จะมีคนมาห้อมล้อมให้กำลังใจ
ในทำนองเดียวกัน คนที่อยู่อย่างตระหนี่ เห็นแก่เงินทองมาก เมื่อจวนสิ้นลมก็จะทุรนทุรายเพราะเงินทอง จนตายไม่สงบ…ป้าหยิบมีอาชีพปล่อยเงินกู้และเรียกดอกเบี้ยแพง ต่อมาล้มป่วยจนต้องเข้าห้องไอซียู สัญญาณชีพต่ำลงเรื่อยๆ สุดจะช่วยให้ดีขึ้นได้ เมื่อเห็นว่าป้าหยิบใกล้จะเสียชีวิต แพทย์จึงพูดแนะนำให้แกเตรียมใจและพร้อมปล่อยวาง แต่พอพูดถึงการปล่อยวางทรัพย์สินเงินทอง ป้าหยิบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีราวกับจะต่อต้าน ผ่านไปหนึ่งวันแกก็ยังไม่เสียชีวิต
วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านคนหนึ่งมาหาแกด้วยอาการลุกลี้ลุกลน เขาเล่าว่าได้ยืมเงินป้าหยิบนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสคืนสักที เมื่อเช้าเห็นแกมาทวงเงินที่บ้านเลยตกใจรีบมาหาป้าหยิบและรับปากว่าจะคืนเงินให้ ป้าหยิบสิ้นลมวันนั้นหลังจากกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่
ยึดติดอะไรในยามที่มีชีวิตอยู่ สิ่งนั้นก็จะตามไปรบกวนจิตใจจนสิ้นลม ในทางตรงข้าม หากอยู่อย่างปล่อยวาง เมื่อจะตายก็พร้อมปล่อยวางและจากไปอย่างสงบ
หากมีชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น เมื่อล้มป่วยก็จะมีผู้คนมาช่วยเหลือดูแลอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยจนวาระสุดท้าย…สุภาพรเป็นคนหนึ่งที่มีน้ำใจต่อมิตรสหายมาก ไม่เคยปฏิเสธเมื่อเพื่อนขอความช่วยเหลือ และพร้อมยื่นมือเมื่อเห็นเพื่อนเดือดร้อน เมื่อเธอล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่บ้านโดยปฏิเสธการรักษาทุกชนิด
ตลอดสองเดือนที่เธอนอนแบ็บบนเตียง เพื่อนๆ ผลัดกันมาดูแลเธอ 24 ชั่วโมง บ้างก็ช่วยเช็ดตัว บ้างก็นวดคลายปวด บ้างก็ตีขิมเป่าขลุ่ยให้เธอฟัง หาไม่ก็ชวนเธอสวดมนต์ นั่งสมาธิ ตอนที่เธอสิ้นลมนั้น เพื่อนๆ มาดูใจอยู่รอบเตียงและส่งเธอสู่สุคติอย่างสงบ
เราอยากตายอย่างไรก็ควรเตรียมตัวเสียแต่บัดนี้ ด้วยการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่อยากประสบพบเห็นในวาระสุดท้าย ถ้าอยากตายดีก็ต้องใช้ชีวิตให้ดีมีคุณภาพนับแต่วันนี้ไป
ที่มา นิตยสาร Secret