การมีสมาชิกใหม่ในบ้านเป็นเจ้าตัวน้อย ล้วนแล้วแต่เป็นความน่ายินดีของครอบครัว โดยเฉพาะสำหรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ที่ความยินดีน่าปลาบปลื้มนี้ อาจมาพร้อมความกังวล ความไม่แน่ใจพร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมา
วันนี้แอดจะชวนผู้อ่านไปฟังเสียงร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากผู้หญิงธรรมดาสู่ว่าที่ “คุณแม่” เพื่อทำความเข้าใจอาการคนท้อง ให้ตลอดทั้ง 9 เดือนข้างหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น และมีสุขภาพที่ดีทั้งคุณแม่ และคุณลูก
สัญญาณของการตั้งครรภ์
เมื่อเริ่มต้นตั้งครรภ์ ช่วง 1 – 6 สัปดาห์แรก เป็นช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนฮอร์โมน ทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ที่เราเรียกว่า “อาการแพ้ท้อง” ซึ่งเป็นสัญญาณที่ทำให้รู้ว่า กำลังมีเด็กตัวน้อยๆ มาอยู่กับเราแล้ว เวลานี้แม่ๆ อาจมีอาการ
- ประจำเดือนไม่มา เรื่องของประจำเดือน แม้จะเป็นอาการที่ชัดเจนที่สุด แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากประจำเดือนไม่มา อาจเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย หรือความเครียดได้เช่นเดียวกัน
- คัดตึงหน้าอก ซึ่งเป็นอาการคล้ายช่วงมีประจำเดือน แต่อาการนี้ในช่วงเริ่มตั้งครรภ์ จะมีอาการที่ยาวนานกว่า
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นจากระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
- คลื่นไส้ อาเจียน เกิดจากฮอร์โมน hCG (Human chorionic gonadotropin ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยรกเด็ก ไปกระตุ้นการอาเจียน
- เหม็นเมื่อได้กลิ่นบางอย่าง เกิดขึ้นจากกลไกของร่างกาย ที่สร้างกลไกขึ้นเพื่อปกป้องทารกในครรภ์ เมื่อได้กลิ่นของบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายแก่เด็ก
- ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากการขยายตัวของมดลูก ไปกดกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยๆ
- อารมณ์แปรปรวน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- ตกขาวเพิ่มขึ้น เป็นตกขาวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น
เมื่อเริ่มต้นตั้งครรภ์
เมื่อมีอาการผิดปกติแล้ว สิ่งแรกที่ว่าที่คุณแม่ต้องทำ คือ ตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งหากทำด้วยตนเอง ควรทำหลังประจำเดือนไม่มี 7 -10 วัน และควรตรวจในช่วงเช้า ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่มีปัสสาวะเข้มข้นที่สุด หรือหากไปตรวจที่โรงพยาบาล สามารถทำได้ 7 -10 วัน หลังไข่ตก ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน โดยจะเป็นการตรวจหาฮอร์โมน hCG ในเลือด และเป็นวิธีที่แม่นยำ เกือบ 100% ทั้งนี้ เมื่อตรวจพบการตั้งครรภ์แล้ว คุณแม่ควรฝากท้องก่อนอายุครรภ์ครบ 12 สัปดาห์
สิ่งที่ต้องทำเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ นอกจากการฝากท้องแล้วนั้น คุณแม่ยังควรตรวจเลือดเบื้องต้นเพื่อตรวจหาความผิดปกติของโรคต่างๆ ที่อาจส่งต่อจากแม่สู่ลูกได้ เช่น ธาลัสซีเมีย ไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
นอกจากนั้นในส่วนของคุณแม่เองก็ควรต้องเริ่มดูแลตัวเองเป็นพิเศษ นอกจากเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ยังควรงดแอลกอฮอล์ บุหรี่ การทานยาต่างๆ ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อน นอกจากนั้นการเริ่มบันทึกอาการ และน้ำหนักตัวของคุณแม่เองก็สำคัญ เพราะช่วยในการติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้

เรื่องต้องรู้ ตลอดการตั้งครรภ์
อายุครรภ์ 12 สัปดาห์แรก
ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อย่างที่เล่าไปแล้วว่าเป็นช่วงที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย จึงส่งผลต่อความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น จึงมีภาวะเวียนหัว คลื่นไส้ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น
สิ่งที่ต้องระวัง
- ภาวะแท้ง/ท้องลม โดยช่วงที่มีความเสี่ยงสูงสุด คือในช่วง 6 -10 สัปดาห์แรก จึงต้องสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด เช่น ปวดท้องเป็นพักๆ มีเลือดออกทางช่องคลอด
- ขาดสารอาหาร เมื่อกลายเป็นว่าที่คุณแม่ สารอาหารเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกรดโฟลิก ซึ่งสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองของทางรกในครรภ์
อายุครรภ์ 13-27 สัปดาห์
ในไตรมาสที่สองนี้ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากฮอร์โมนเริ่มดีขึ้น แต่ก็จะมีอาการที่เกิดจากการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น มดลูกขยายตัวขึ้นไปทับบริเวณต่างๆ มีอาการปวดหลังจากการแบกน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงอีกหนึ่งสัญญาณดีๆ ที่น่าตื่นเต้นอย่างการที่ “ลูกดิ้น” ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงสัปดาห์ที่ 18 – 20
สิ่งที่ต้องระวัง
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นในคุณแม่ที่ทานของหวาน จะมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะ น้ำหนักขึ้นไวผิดปกติ
- ความดันสูงขณะตั้งครรภ์ มีอาการคล้ายความดันสูง คือ ตาพร่ามัว หน้ามัว ขาบวม
- ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- หน้ามืด เวียนหัว
อายุครรภ์ 28 – 40 สัปดาห์แรก
สำหรับไตรมาสสุดท้ายนี้ การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่จากทารกที่เติบโตขึ้นชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หายใจลำบาก นอนลำบาก ปวดหลัง ปวดขา และครรภ์เริ่มต่ำลงเพื่อเตรียมคลอด
สิ่งที่ต้องระวัง
- ครรภ์เป็นพิษ มีอาการความดันสูง ปวดหัว ตาพร่า
- น้ำเดินก่อนกำหนด มีอาการน้ำใสๆ ไหลออกจากช่องคลอด
- คลอดก่อนกำหนด ปวดท้องถี่ มีมูกเลือก
- ภาระเกาะต่ำ มีเลือดออกทางช่องคลอด
โดยภาวะผิดปกติ และสิ่งที่ต้องระวังเหล่านี้ สามารถดูแลและป้องกันได้ด้วยการปรึกษา และอยู่ภายใต้การดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม “การฝากครรภ์” จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมาก
อินโฟหัวข้อ สรุปอาการแต่ละไตรมาส และ การเตรียมคลอด
เตรียมคลอด พร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่
สำหรับคุณแม่ใกล้คลอด การออกกำลังกายเบาๆ เพื่อช่วยให้คลอดง่ายเป็นเรื่องสำคัญเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็น เดินช้าๆ โยคะ หรือพิลาทิสสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อเชิงกรานแข็งแรง และคลอดง่ายขึ้น นอกจากนั้นอีกอย่างที่ไม่ควรละเลยคือการฝึกหายใจ ฝึกผ่อนคลาย เรื่องนี้ไม่ล้อเล่นนะ เพราะจะช่วยได้มากในระหว่างเจ็บท้องคลอด และคลอดจริง
ในส่วนของอาหาร คุณแม่ต้องการโปรตีนคุณภาพดี ที่ร่างกายนำไปใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น เต้าหู้ ปลา ถั่ว ไข่ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และการเตรียมผลิตน้ำนม รวมถึงอย่าลืมเสริมสารอาหารสำคัญอย่าง ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ที่ไม่เพียงสำคัญต่อทารกในครรภ์ แต่ยังสำคัญต่อคุณแม่อีกด้วย
สุดท้ายที่ต้องเตรียมคือ สิ่งของต่างๆ ที่ต้องวางไว้ให้หยิบง่าย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารต่างๆ เช่นประชาชน สมุดฝากครรภ์ ของใช้คุณแม่ และคุณลูก รวมถึงเบอร์ฉุกเฉิน ที่สามารถโทรและได้รับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
หลังคลอด การฟื้นฟูคือเรื่องสำคัญ
ช่วงหลังคลอด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก คือ “สุขภาพจิต” ของคุณแม่ เพราะเป็นช่วงที่อาจเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หรือ มาม่าบลู (Mama Blues) จึงเป็นช่วงที่ทุกคนในครอบครัวจึงควรดูแลทั้งสุขภาพกาย และใจอย่างใกล้ชิด และตัวคุณแม่เองก็ควรสร้างพื้นที่สบายใจให้กับตัวเองด้วยนะคะ
ด้านสุขภาพกายเอง ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่ควรละเลย หากในช่วงนี้มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูงหนาวสั่น เลือดออกจากช่องคลอดปริมาณมาก หรือมีกลิ่นเหม็น เจ็บหน้าอก ควรพบแพทย์ทันที นอกจากนั้นยังควรตรวจร่างกายหลังคลอด 6 สัปดาห์ เพื่อดูสุขภาพต่างๆ ของคุณแม่ และแม้จะดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด คุณแม่ก็ควรต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าหักโหมจนเกินไปนะคะ
สุดท้ายในด้านอาหาร ควรต้องเลือกอาหารที่ช่วยทั้งฟื้นฟู และเสริมสร้าง คือฟื้นฟูร่างกาย และเสริมสร้างพลังงานและน้ำนม โดยสารอาหารสำคัญสำหรับคุณแม่เลยคือ โปรตีน เพื่อใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสร้างน้ำนม รวมไปถึงธาตุเหล็ก ดีเอชเอ, เออาร์เอ (ARA) และ ลูทีน ในช่วงนี้ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติ เพื่อให้น้ำนมไหลได้ดี เลี่ยงกาแฟ แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มชูกำลัง และอาจจะเสริมอาหารที่ช่วยเรียกน้ำนม เช่น แกงเลียง หัวปลี เข้าไปด้วยก็ยิ่งดีเลยค่ะ
ข้อสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ แม่กินอะไร ก็เหมือนลูกกินไปด้วย ดังนั้นแล้วต้องเลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์เพื่อสร้าง น้ำนม ซึ่งเปรียบเสมือนซูเปอร์ฟู้ดสำหรับลูกน้อย เพื่อนำไปบำรุงสมองและร่างกาย โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก โดยอีกหนึ่งกุญแจสำคัญสำหรับพัฒนาการทางสมองของเด็กคือ แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างปลอกไมอีลิน (Myelin Sheath) ช่วยให้เซลล์สมองส่งสัญญาณหากันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
อินโฟหัวข้อ สรุปการฟื้นฟูหลังคลอด
แม้การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องใหญ่ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต แต่หากอยู่ภายใต้การดูแลทั้งจากคุณหมอ และครอบครัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจเลย และเมื่อได้เห็นเจ้าตัวน้อย แอดเชื่อว่าคุณแม่มือแต่ละคนจะมีแต่ความปิติยินดีที่ได้เห็นทุกพัฒนาการการเติบโตที่ก้าวหน้าอย่างแน่นอนค่ะ
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการคนท้อง สามารถปรึกษาทีมพยาบาล S-Mom Club ได้ตลอด 24 ชม. ไม่มีค่าใช้จ่าย อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.s-momclub.com/pregnancy









