จากเด็กร้ายกาจที่ชอบรังแกเพื่อน กลายเป็น ครูสอนพุทธศาสนา ชื่อดัง
อีริค สติวเออร์ (Eric Steuer) ประหลาดใจมาก เมื่อพบว่าเพื่อนสมัยเด็กที่ชอบรังแกเขาตลอดเวลาจนจำฝังใจ ปัจจุบันกลายเป็น ครูสอนพุทธศาสนา ที่อุทิศตนเพื่อเผยแผ่ศาสนาพุทธอย่างจริงจัง
***เจฟฟ์ ซล็อตนิค (ซ้าย) และอีริค สติวเออร์ (ขวา)***
เพื่อนคนนี้คือ เจฟฟ์ ซล็อตนิค (Jeff Zlotnik) รู้จักกับอีริคตั้งแต่เป็นเด็กน้อยวัยอนุบาล เจฟฟ์เป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก และมีความก้าวร้าวมากพอกัน ครั้งแรกที่อีริคถูกเจฟฟ์แกล้งคือในสนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาล เจฟฟ์เดินตรงเข้ามาคว้าตัวตุ๊กตุ่นตุ๊กตาของอีริคไปจากมือ แล้วขว้างทิ้งไปในพุ่มไม้ พร้อมกับยิ้มมุมปากแบบผู้ร้ายในหนัง
อีริคจำได้ว่า เสียใจมาก เขากลับบ้านไปร้องไห้กับแม่ หลายปีต่อมาระหว่างแข่งบอลโรงเรียน เจฟฟ์ก็ส่งบอลให้อีริค แต่อีริคปล่อยบอลผ่านไปเข้าเท้าของฝ่ายตรงข้าม เจฟฟ์ตะโกนใส่อีริคว่า ไอ้งั่ง!
หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์งัดข้อกันเกิดขึ้นอีกหลายครั้งตามวันเวลาที่ผ่านไป เช่น เจฟฟ์พูดใส่หน้าอีริคว่าไม่ให้เขานั่งร่วมโต๊ะในโรงอาหารต่อหน้าเพื่อน ๆ เยอะแยะ หรือเจฟฟ์ท้าชกเพราะชอบเด็กผู้หญิงคนเดียวกัน
จริง ๆ แล้วก็แค่เรื่องทะเลาะกันตามประสาเด็ก แต่อีริคเป็นคนเซ้นสิทีฟเขาจึงเจ็บปวด และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีวันเป็นที่ยอมรับสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งเรื่องนี้ฝังใจเขามาตลอด
เขาจึงเลิกพยายามทำให้เจฟฟ์พอใจในตัวเขา และมองดูอยู่ห่าง ๆ ในขณะที่เจฟฟ์ไปเข้าทีมฟุตบอล อีริคก็ไปเข้าคลาสดนตรีและการละคร
***เด็กชายอีริค (ซ้าย) และเด็กชายเจฟฟ์ (ขวา)***
หลังจากเรียนจบวิทยาลัยได้ 2-3 ปี อีริคก็ได้ยินข่าวว่า เจฟฟ์ไปใช้ชีวิตอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในไต้หวัน อุทิศตนให้กับการฝึกสมาธิและศึกษาพุทธศาสนา หลังจากกลับถึงบ้านในอเมริกาเจฟฟ์กับเพื่อนก็ก่อตั้งวัด Dharma Bum Temple ในซานดิเอโก ให้เป็นศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาและฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
เจฟฟ์ทำโครงการมากมาย เขาเปิดคลาสฝึกสมาธิสำหรับผู้เริ่มต้น โดยสอนฟรีตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น เรือนจำ บ้านพักสำหรับคนเร่ร่อน โรงพยาบาลทหารผ่านศึก และศูนย์สำหรับผู้ติดสุรา เขาก่อตั้งสมาคม Delta Beta Tau ให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยซานดิเอโกที่สนใจงานอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม
***เจฟฟ์ ซล็อตนิค***
อีริคติดต่อกับเจฟฟ์ทางโซเชียลเน็ตเวิร์กได้สักพักก็ขอนัดพบ เมื่อเจอหน้ากันอีริคประหลาดใจมากเพราะเจฟฟ์ในปัจจุบันต่างกับเจฟฟ์ในอดีตลิบลับ เขานิ่งสุขุมและมีรอยยิ้มเสมอ เวลาสนทนากับใครก็จะตั้งใจฟัง สบตาด้วยตลอดเวลา และตอบคำถามอย่างใส่ใจ
เมื่อเจฟฟ์รู้ถึงความคิดของอีริคเขาก็ไม่แปลกใจเลย แถมยังบอกว่า เวลาที่เขาเล่าให้ใครฟังว่าตอนเด็ก ๆ เกเรแค่ไหน ต่อยตีระรานไปทั่ว ทุกคนจะช็อคเพราะไม่เชื่อ
จุดหักเหในชีวิตของเจฟฟ์เกิดขึ้นตอนอายุ 27 เขาเริ่มรู้สึกว่างเปล่า ไร้สุขและซึมเศร้า เพื่อนคนหนึ่งไปเข้าคลาสฝึกสมาธิที่วัดพุทธในท้องถิ่นได้มาชวนเขาไปด้วยกัน ซึ่งเขาชอบมาก 2-3 เดือนต่อมาในระหว่างกำลังเข้าคิวรอเข้าผับแห่งหนึ่ง จู่ ๆ เจฟฟ์ก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความเศร้าและหวาดหวั่นถาโถมเข้าใส่ วันรุ่งขึ้นเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่วัดอีกครั้ง
ตั้งแต่นั้นมาเจฟฟ์ไปวัดทุกวันเป็นเวลา 2 ปี เขาย้ายเข้าไปอยู่กระท่อมเล็ก ๆ ใกล้วัด เขาฝึกสมาธิภาวนา อ่านตำรา และเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครในชุมชน เจฟฟ์รู้สึกว่าเขาพบเป้าหมายในชีวิตแล้ว ในปี 2004 เจฟฟ์เก็บกระเป๋าไปใช้ชีวิตที่ Fo Guang Shan วัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน
พอครบ 1 ปี ครูก็บอกเจฟฟ์ว่า ถึงเวลากลับบ้านแล้ว เขาควรนำสิ่งที่ร่ำเรียนมากลับไปผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมที่บ้านเกิด เจฟฟ์จึงกลับมาซานดิเอโกพร้อมภาระกิจนำพุทธศาสนามาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ทุกคนที่อยู่รอบตัว เขาเริ่มเป็นอาสาสมัครเข้าไปในเรือนจำและสถานพินิจ เปิดคลาสฝึกสมาธิและเริ่มก่อสร้างวัด
2-3 ปีต่อมาเจฟฟ์ไปงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนประหลาดใจสุด ๆ เมื่อพบเจฟฟ์คนใหม่ ทุกคนที่เคยถูกเขารังแกเรียงหน้าเข้ามาต่อว่าเขา ซึ่งเจฟฟ์ก็ทำได้เพียงกล่าวขอโทษทุกคนอย่างสุภาพและจริงใจที่สุด
ในงานวันนั้นเจฟฟ์กลายเป็นหัวข้อที่ทุกคนพูดถึง เป็นความเซอร์ไพรซ์อย่างที่สุดเมื่อตัวร้ายของโรงเรียน เจฟฟ์ ซล็อตนิค กลายเป็นผู้อุทิศตัวให้แก่พุทธศาสนา การฝึกสมาธิภาวนา และการช่วยเหลือผู้อื่น
ปัจจุบันเจฟฟ์ใช้เวลาส่วนใหญ่กับเยาวชน เขาไปโรงเรียนมัธยมเพื่อบรรยายเรื่องประโยชน์ของการฝึกสมาธิ เขาชอบสอนเด็กที่อายุระหว่าง 15-18 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่กำลังเผชิญกับความกดดันใหม่ ๆ เนื่องจากชีวิตเริ่มซับซ้อนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเจฟฟ์ก็กลายเป็นเพื่อนกับอีริคซึ่งยังคงแปลกใจไม่หาย …จากเพื่อนร้ายกลายเป็นเพื่อนรักก็ด้วยอานิสงส์ของความเลื่อมใสและการอุทิศตนให้แก่พุทธศาสนาโดยแท้
ภาพ : lionsroar.com, southwestmag.com, seekingheartwood.com, npr.org
